เจาะลึก China 50 Index: ขุมทรัพย์แดนมังกรที่มือใหม่ต้องรู้!

สวัสดีครับทุกท่าน โดยเฉพาะมือใหม่หัวใจการลงทุน ที่กำลังมองหาโอกาสในตลาดหุ้น แต่ยังรู้สึกว่าโลกการเงินมันซับซ้อนยุ่งเหยิงราวกับปมเชือกที่คลายไม่ออก วันนี้ผมมีเรื่องราวที่อยากจะชวนคุยถึง “ขุมทรัพย์แดนมังกร” ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

เพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม ชื่อ “ปิง” เคยทักมาถามด้วยความกังวลว่า “พี่ครับ! เห็นข่าวบอกว่าเศรษฐกิจจีนไม่ค่อยดี แล้วไอ้ดัชนีหุ้นจีนที่เค้าพูดถึงกันเนี่ย มันคืออะไรกันแน่ เราจะไปลงทุนกับมันได้เหรอ?” ผมยิ้มแล้วตอบปิงไปว่า “ใจเย็นๆ ปิง เดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟังนะว่าไอ้ ‘ดัชนี FTSE China A50’ (เอฟทีเอสอี ไชน่า เอห้าสิบ) ที่ว่านี้มันคืออะไร และทำไมมันถึงเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่โอกาสในตลาดหุ้นจีนที่กำลังเติบโต”

ลองจินตนาการดูสิครับว่า ถ้าเราอยากรู้ว่าบริษัทจีนยักษ์ใหญ่ที่สุด 50 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange) ซึ่งเป็นตลาดที่เข้าถึงง่ายกว่าตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ พวกเขาเหล่านั้นกำลังทำอะไรอยู่ หรือมีผลประกอบการเป็นอย่างไรบ้าง เราจะไปนั่งไล่ดูหุ้นทีละตัว 50 บริษัทเลยคงจะเหนื่อยแย่ใช่ไหมครับ? เจ้าดัชนี FTSE China A50 (เอฟทีเอสอี ไชน่า เอห้าสิบ) นี่แหละครับ คือ “ตัวแทน” หรือ “มาตรวัด” ที่บอกผลรวมของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้น ดัชนีนี้จึงเป็นเหมือนหัวใจสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ติดตามและตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นจีนครับ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่ในภาคธนาคารอย่าง Agricultural Bank of China (อะกริคัลเจอรัล แบงก์ ออฟ ไชน่า), Bank of China (แบงก์ ออฟ ไชน่า) หรือ China Construction Bank (ไชน่า คอนสตรัคชั่น แบงก์) ไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Contemporary Amperex Technology (คอนเทมโพรารี่ แอมเพอเร็กซ์ เทคโนโลยี) หรือแม้แต่บริษัทสุราระดับตำนานอย่าง Kweichow Moutai (ไกวโจว เหมาไถ) ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี 50 บริษัทชั้นนำของจีน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า china 50 index ตัวนี้แหละครับ ข้อมูลเหล่านี้ก็มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถืออย่าง FTSE Russell (เอฟทีเอสอี รัสเซลล์) และ Wikipedia (วิกิพีเดีย) ครับ

แล้วทำไมดัชนีนี้ถึงมีความสำคัญขนาดนั้นน่ะเหรอครับ? ลองนึกภาพว่า ถ้าเราอยากลงทุนในประเทศจีน แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน การลงทุนในดัชนีที่รวบรวมบริษัทชั้นนำถึง 50 แห่งนี้ ก็เหมือนเราได้ลงทุนใน “ตะกร้าหุ้น” ที่กระจายความเสี่ยงไปในหลายๆ ภาคส่วนของเศรษฐกิจจีนพร้อมๆ กัน แทนที่จะต้องไปลุ้นกับหุ้นเพียงตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งอาจมีความเสี่ยงสูงกว่าเยอะเลยครับ นี่แหละคือข้อดีของการลงทุนผ่านดัชนีครับ เหมือนเราซื้อ “บุฟเฟต์” ที่มีอาหารหลากหลายให้เลือก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ลองจานเด็ด

ทีนี้ มาดูความเคลื่อนไหวของดัชนีนี้กันบ้าง ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ดัชนี FTSE China A50 (เอฟทีเอสอี ไชน่า เอห้าสิบ) ปิดตลาดอยู่ที่ 12,043.60 จุด และมีการเปลี่ยนแปลงในวันนั้นอยู่ที่ -47.52 จุด หรือลดลงไป -0.39% ครับ ถ้าดูภาพรวมตลอด 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีนี้ก็มีการขึ้นลงที่น่าสนใจทีเดียวครับ โดยเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 13,678.93 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 9,445.02 จุด ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมาก็มีการเปลี่ยนแปลงติดลบไปถึง -9.27% ครับ แสดงให้เห็นว่าดัชนีนี้ก็มีความผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง ทั้งภายในประเทศจีนเองและของโลกด้วยครับ เหมือนกับที่เราเจอสภาพอากาศที่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกนั่นแหละครับ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็มาจาก Financial Times (ไฟแนนเชียล ไทมส์) และ Investing.com (อินเวสติงดอทคอม) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เราเชื่อถือได้ครับ

คุณปิงอาจจะสงสัยต่อว่า “แล้วอะไรล่ะครับพี่ ที่ทำให้ดัชนีนี้มันขึ้นๆ ลงๆ ได้ขนาดนั้น?” คำตอบก็คือ มีหลายปัจจัยครับ อย่างแรกเลยคือ “นโยบายการเงิน” ของธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China) ที่จะออกมาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หรือนโยบายอื่นๆ เพื่อกระตุ้นหรือชะลอเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR (Loan Prime Rate) ถ้าธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ย ธุรกิจก็มักจะกู้ยืมง่ายขึ้น ลงทุนมากขึ้น ซึ่งก็อาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นได้ครับ

นอกจากนโยบายการเงินแล้ว “ตัวเลขเศรษฐกิจ” ของจีนเองก็สำคัญไม่แพ้กันครับ ลองนึกดูว่าถ้าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP (จีดีพี) ของจีนเติบโตได้ดี หรือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต หรือ Manufacturing PMI (แมะนูแฟคเจอริ่ง พีเอ็มไอ) ออกมาแข็งแกร่ง ก็จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นจีนมากขึ้นครับ เช่นเดียวกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (เอฟดีไอ) ที่ไหลเข้าจีนเยอะๆ ก็เป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดหุ้นครับ ตัวเลขเหล่านี้เป็นเหมือนสัญญาณชีพจรของเศรษฐกิจจีน ถ้าชีพจรเต้นแรง ตลาดหุ้นก็มักจะคึกคักตามไปด้วยครับ

บางคนอาจมองว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ดีขึ้น อย่างข้อมูลทางเทคนิค ณ วันที่ 21 เมษายน 2568 (อนาคต) ที่มีการคาดการณ์ราคาปิดก่อนหน้าไว้ที่ 13,067.00 จุด ราคาสูงสุดวันนี้ 13,150.50 จุด และราคาต่ำสุดวันนี้ 13,012.50 จุด ก็ช่วยให้พอเห็นแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาได้ ซึ่งข้อมูลพวกนี้ก็หาได้จาก Yahoo Finance (ยาฮู ไฟแนนซ์) และ Investing.com (อินเวสติงดอทคอม) ครับ แต่อย่าลืมนะครับว่านี่เป็นแค่ข้อมูลในอดีตหรือการคาดการณ์เท่านั้น การลงทุนต้องมองหลายมิติ

แล้วเราจะลงทุนในดัชนี FTSE China A50 (เอฟทีเอสอี ไชน่า เอห้าสิบ) ได้ยังไงล่ะ? วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไปก็คือการลงทุนผ่าน “กองทุนอีทีเอฟ” หรือ ETF (Exchange Traded Funds) ที่ไปอ้างอิงกับดัชนีนี้ครับ เหมือนเราซื้อกองทุนรวมนั่นแหละครับ กองทุนอีทีเอฟเหล่านี้จะไปลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี FTSE China A50 (เอฟทีเอสอี ไชน่า เอห้าสิบ) ให้เราโดยอัตโนมัติ ทำให้เราไม่ต้องไปเลือกหุ้นเองทีละตัวให้ปวดหัว ตัวอย่างกองทุน ETF (อีทีเอฟ) ที่น่าสนใจก็เช่น iShares FTSE A50 China Index ETF (ไอแชร์ส เอฟทีเอสอี เอห้าสิบ ไชน่า อินเด็กซ์ อีทีเอฟ) หรือ CSOP FTSE China A50 ETF (ซีเอสโอพี เอฟทีเอสอี ไชน่า เอห้าสิบ อีทีเอฟ) ซึ่งเป็นของบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกอย่าง BlackRock (แบล็ค ร็อค) และแหล่งข้อมูลอย่าง ETF Database (อีทีเอฟ ดาต้าเบส) ก็มีให้ศึกษาเพิ่มเติมครับ นี่แหละครับที่ทำให้การเข้าถึงการลงทุนใน china 50 index (ดัชนี 50 บริษัทชั้นนำของจีน) เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นเยอะเลย

หลายคนอาจจะเคยได้ยินข่าวเศรษฐกิจจีนชะลอตัว หรือมีปัญหานู่นนี่นั่น ทำให้รู้สึกกังวลใจว่าการลงทุนในหุ้นจีนตอนนี้จะคุ้มค่าหรือเปล่า? ย้อนกลับไปเมื่อปี 2551 (2008) ตอนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) ทั่วโลกก็อยู่ในภาวะซบเซา แต่จีนก็ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่จีนก็ยังคงเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจที่มีประชากรกว่าพันล้านคน มีกำลังซื้อที่มหาศาล และรัฐบาลก็มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่เสมอครับ ดัชนี FTSE China A50 (เอฟทีเอสอี ไชน่า เอห้าสิบ) จึงยังคงเป็นตัวสะท้อนศักยภาพของบริษัทชั้นนำที่อยู่ในตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

แน่นอนว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงอยู่เสมอครับ ไม่มีอะไรที่จะการันตีผลตอบแทนได้ 100% นักลงทุนอย่างเราจึงต้อง “ทำการบ้าน” ให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ ศึกษาข้อมูลให้ละเอียด ทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เราจะลงทุนคืออะไร มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และเหมาะกับเป้าหมายการลงทุนของเราหรือไม่ อย่าเพิ่งไปเชื่อตามกระแส หรือตามคนอื่นจนหน้ามืดตามัวนะครับ ควรประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสม นอกจากนี้ การกระจายความเสี่ยงก็เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไปครับ

สำหรับใครที่สนใจจะเริ่มต้นลงทุนในดัชนีนี้ หรือสนใจสินทรัพย์อื่นๆ ทั่วโลก บางแพลตฟอร์มการซื้อขายระดับโลกอย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) ก็มีตัวเลือกหลากหลาย ทั้งหุ้น ดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ให้เราได้ศึกษาและเลือกเทรดตามความเหมาะสมครับ

ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากจะบอกว่า ตลาดหุ้นจีนก็เหมือนสวนสนุกขนาดใหญ่ ที่มีทั้งเครื่องเล่นหวาดเสียวอย่างรถไฟเหาะตีลังกา และเครื่องเล่นสบายๆ อย่างม้าหมุน หัวใจสำคัญคือเราต้องรู้ว่าเครื่องเล่นไหนเหมาะกับเรา และศึกษาคู่มือการเล่นให้ดีก่อนกระโดดขึ้นไปนะครับ ดัชนี FTSE China A50 (เอฟทีเอสอี ไชน่า เอห้าสิบ) เป็นเพียงหนึ่งในประตูสู่โอกาส แต่ประตูนั้นจะนำไปสู่ขุมทรัพย์ หรือบทเรียนราคาแพง ก็ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวของเราเองครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีสติและรอบคอบนะครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมครับ

Leave a Reply