
เคยไหมครับที่เห็นข่าวตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งแรง หรือบางทีก็ร่วงกราว จนอดสงสัยไม่ได้ว่า “ไอ้เจ้าดัชนีที่เขาพูดถึงกันบ่อยๆ อย่าง ‘นิคเคอิ 225’ เนี่ย มันคืออะไรกันแน่? แล้วถ้าเทียบกับตลาดหุ้นอเมริกาอย่าง S&P 500 มันแตกต่างกันยังไง? แล้วเราคนไทยจะเข้าไปลงทุนกับมันได้ไหม?”
คำถามเหล่านี้แหละครับ ที่น้องเจน เพื่อนสนิทผมเพิ่งจะถามมาหมาดๆ หลังจากเห็นพาดหัวข่าวใหญ่เรื่องตลาดหุ้นญี่ปุ่น เลยเป็นที่มาของบทความฉบับนี้ครับ เราจะมาไขข้อข้องใจเรื่อง “เปรียบเทียบ นิคเคอิ 225” กับตลาดหุ้นทั่วโลกกันแบบง่ายๆ สไตล์เม้าท์มอย แต่ได้ใจความ เหมือนนั่งจิบกาแฟคุยเรื่องการเงินกันเลยทีเดียว
—
**นิคเคอิ 225 คืออะไร? ทำไมต้องจับตาดู?**
ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกับ “นิคเคอิ 225” (Nikkei 225) กันก่อนครับ พูดง่ายๆ มันก็เหมือนกับ “ดาราเบอร์หนึ่ง” ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั่นแหละครับ ดัชนีตัวนี้เป็นตัวแทนสะท้อนภาพรวมของบริษัทชั้นนำ 225 แห่งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว หรือ Tokyo Stock Exchange (โตเกียว สต็อก เอ็กซ์เชนจ์) ที่ญี่ปุ่นนั่นเอง
ความพิเศษของนิกเคอิ 225 คือมันเป็น “ดัชนีถ่วงน้ำหนักราคา” (price-weighted index) ครับ หมายความว่าหุ้นของบริษัทไหนที่มีราคาแพงกว่า ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่า ไม่ได้วัดตามมูลค่าตลาดรวมของบริษัท (market capitalization) เหมือนดัชนีอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยกันอย่าง S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งการคำนวณแบบนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1950 โดยตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ก่อนที่บริษัท Nihon Keizai Shimbun (นิฮอน เคไซ ชิมบุน) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Nikkei Inc. (นิคเคอิ อิงค์) จะเข้ามาดูแลและคำนวณต่อตั้งแต่ปี 1970 จนถึงปัจจุบัน และข้อมูลเหล่านี้ก็ถูกอัปเดตทุกๆ 5 วินาที ทำให้เราเห็นความเคลื่อนไหวของ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้แบบเรียลไทม์เลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด-ต่ำสุดในแต่ละวัน หรือแม้แต่ช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ รวมถึงปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย ทุกอย่างล้วนเป็นข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตา เพื่อทำความเข้าใจทิศทางของตลาด การที่นิกเคอิ 225 มีความสำคัญระดับโลก นั่นก็เพราะญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และบริษัทที่อยู่ในดัชนีนี้ก็ล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอยู่ไม่น้อยครับ
—
**เปรียบเทียบ นิคเคอิ 225 กับ S&P 500: ใครคือนักแสดงนำ?**
ทีนี้มาถึงไฮไลท์สำคัญที่น้องเจนอยากรู้ครับ การ “เปรียบเทียบ นิคเคอิ 225” กับ S&P 500 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งดัชนีตลาดหุ้นสำคัญของสหรัฐอเมริกา เหมือนเรากำลัง เปรียบเทียบนักแสดงนำสองคน ว่าใครมีดีอะไรบ้าง
ลองนึกภาพตามนะครับ ถ้าเรามีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง แล้วอยากกระจายความเสี่ยงไปลงทุนใน ตลาดหุ้น สองแห่งนี้ เราจะเลือกใครดี?
* **ความสัมพันธ์ (Correlation):** สิ่งแรกที่น่าสนใจคือความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีทั้งสองนี้ต่ำมากๆ ครับ อยู่ที่แค่ 0.04 เท่านั้น (ข้อมูล ณ วันที่ได้รับข้อมูลดิบ) ตัวเลขนี้บอกอะไรเรา? มันบอกว่าการเคลื่อนไหวของราคา นิคเคอิ 225 กับ S&P 500 ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันเท่าไหร่ครับ เหมือนเพื่อนซี้ที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกันแต่ก็อยู่ด้วยกันได้สบายๆ นี่แหละคือข้อดีเลยนะ เพราะมันเหมาะกับการ “กระจายความเสี่ยง” ของพอร์ต การลงทุน ของเรามากๆ ถ้าตลาดหนึ่งร่วง อีกตลาดอาจจะยังทรงตัว หรือสวนทางกันก็ได้
* **ผลตอบแทน (Performance):** มาดูเรื่อง ผลตอบแทน กันบ้างครับ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ได้รับข้อมูลดิบ) S&P 500 (SPY) ทำ ผลตอบแทน ได้เฉลี่ยสูงถึง 12.04% ต่อปี ในขณะที่ นิคเคอิ 225 ทำได้ 6.04% ต่อปี เห็นได้ชัดว่า SPY แข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัดในแง่ของ ผลตอบแทน ย้อนหลัง
* **ความเสี่ยง (Risk):** เรื่อง ความเสี่ยง นิคเคอิ 225 มี “ความผันผวน” (volatility) สูงกว่า และมีช่วงที่ “มูลค่าลดลง” (drawdown) ที่ลึกกว่า SPY ครับ ลองจินตนาการว่า SPY เหมือนกับการวิ่งบนทางเรียบ ส่วนนิกเคอิ 225 เหมือนวิ่งบนทางขึ้นเขาลงห้วย มีโอกาสสะดุดล้มแรงๆ ได้มากกว่า
* **อัตราส่วน Sharpe (Sharpe Ratio) และ Sortino (Sortino Ratio):** สำหรับนักลงทุนที่ดูเรื่อง ความเสี่ยง เทียบกับ ผลตอบแทน อัตราส่วน Sharpe ของ นิคเคอิ 225 ในช่วงที่ผ่านมาติดลบครับ ซึ่งบ่งชี้ว่า ผลตอบแทน ที่ได้มานั้นไม่คุ้มค่ากับ ความเสี่ยง ที่ต้องแบกรับเลยสักนิด ส่วนอัตราส่วน Sortino ก็ต่ำกว่า SPY เช่นกัน พูดง่ายๆ คือ ถ้าจะลงทุนใน นิคเคอิ 225 เราอาจจะต้องยอมรับ ความเสี่ยง ที่สูงกว่า เพื่อแลกกับ ผลตอบแทน ที่อาจจะไม่ดีเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ อย่าง S&P 500

—
**อะไรอยู่เบื้องหลังความแตกต่าง และตลาดอื่นๆ ที่น่าจับตา**
ทำไม นิคเคอิ 225 ถึงมีลักษณะการเคลื่อนไหวและ ผลตอบแทน ที่แตกต่างจาก S&P 500? มันมีหลายปัจจัยครับ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเอง สภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หรือแม้แต่ข่าวสารสำคัญของบริษัทใหญ่ๆ เช่น การปรับโครงสร้างองค์กร หรือยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นอย่างที่เห็นกับหุ้น Tesla (เทสล่า) ที่เคยพุ่งแรงจากการส่งมอบรถที่ดีกว่าคาดการณ์ รวมถึงเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศต่างๆ เช่น การเลือกตั้งในสหราชอาณาจักรที่ส่งผลกระทบต่อดัชนี FTSE 100 (เอฟทีเอสอี 100) ของอังกฤษครับ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ ตลาดหุ้น ทั่วโลกมีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
นอกจากดัชนีนิกเคอิ 225 และ S&P 500 แล้ว ในโลกของ การลงทุน ยังมีดัชนีสำคัญอื่นๆ อีกมากมายที่เราควรทำความรู้จัก เช่น Dow Jones Industrial Average (ดาวโจนส์ อินดัสเทรียล แอเวอเรจ), NASDAQ Composite (แนสแด็ก คอมโพสิต), Hang Seng Index (ฮั่งเส็ง อินเด็กซ์) ของฮ่องกง หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ที่มีความเสี่ยงสูง และราคาผันผวนแบบสุดๆ หรือตราสารทางการเงินอื่นๆ ที่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ซึ่งแต่ละตัวก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่นักลงทุนต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ
สำหรับ การเงินส่วนบุคคล การวางแผน การลงทุน ให้ตอบโจทย์ชีวิตในระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผนเกษียณ การจัดการมรดก หรือแม้แต่การแบ่งเงินให้ลูกๆ ที่มีสถานะทางการเงินแตกต่างกัน ล้วนต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจเรื่อง การลงทุน และการจัดการ ความเสี่ยง ทั้งสิ้นครับ
—
**อยากลงทุนใน นิคเคอิ 225 ทำได้ยังไง?**
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจอยากจะลองลงทุนใน นิคเคอิ 225 ไม่ต้องบินไปซื้อหุ้นที่ญี่ปุ่นให้ยุ่งยากครับ วิธีที่ง่ายและนิยมที่สุดคือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” (mutual funds) ที่ลงทุนในดัชนี Japan 225 หรือที่ใกล้เคียง
ปัจจุบันมี กองทุนรวม หลายกองที่ให้เราได้เลือกลงทุน ยกตัวอย่างเช่น กองทุนของ บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ต่างๆ ที่มีนโยบายลงทุนใน ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละกองก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น:
* **บลจ. (Asset Management Company):** บริษัทจัดการกองทุนไหนเป็นผู้บริหาร
* **ประเภทกองทุน (Fund Type):** เป็น กองทุนรวม ประเภทไหน เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น
* **ค่าความเสี่ยง (Risk Level):** กองทุนนี้มีความเสี่ยงระดับไหน ยิ่งระดับสูง ยิ่งมีโอกาสได้ ผลตอบแทน สูง แต่ก็เสี่ยงขาดทุนได้มาก
* **Feeder Fund (ฟีดเดอร์ ฟันด์):** เป็นกองทุนที่ไปลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศอีกทีหรือไม่
* **นโยบายค่าเงิน (Currency Policy):** มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่
* **นโยบายการจ่ายปันผล (Dividend Policy):** มีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนหรือไม่
* **ค่าธรรมเนียม (Fees):** อันนี้สำคัญมากครับ ทั้งค่าธรรมเนียมขาย ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน และค่าใช้จ่ายรวมของกองทุนต่อปี เพราะสิ่งเหล่านี้คือต้นทุนที่เราต้องจ่าย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ ผลตอบแทน สุทธิของเราโดยตรง
* **ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ (Minimum Initial Investment) และ ลงทุนครั้งต่อไปขั้นต่ำ (Minimum Subsequent Investment):** กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำที่เราต้องใช้
ข้อมูลเหล่านี้สามารถหาดูได้จากหนังสือชี้ชวนของกองทุน หรือบนเว็บไซต์ของ บลจ. นั้นๆ หรือแพลตฟอร์มการลงทุนอย่าง Finnomena (ฟินโนมีน่า) ที่เขารวบรวมข้อมูลไว้ให้ เปรียบเทียบ กันง่ายๆ ครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่า การลงทุนใน นิคเคอิ 225 มี ความผันผวน สูงกว่า S&P 500 การเลือก กองทุนรวม ที่มีนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับ ความเสี่ยง ที่เรายอมรับได้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ
—

**ข้อคิดก่อนตัดสินใจลงทุน: อย่าลืมกระจายความเสี่ยง!**
ในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงิน ผมมักจะย้ำเตือนเสมอว่า “การกระจายความเสี่ยง” (diversification) เป็นหัวใจสำคัญของการ การลงทุน ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเห็นว่า นิคเคอิ 225 มีความผันผวนสูง และมีอัตราส่วน Sharpe ที่บอกว่า ผลตอบแทน อาจไม่คุ้ม ความเสี่ยง การที่เราจะเอาเงินไปลงที่เดียวมากๆ โดยไม่กระจายไปสินทรัพย์อื่นๆ เลย ถือว่าเสี่ยงมากครับ
ลองแบ่งเงินไปลงทุนใน ตลาดหุ้น อื่นๆ ที่มีลักษณะต่างกัน เช่น หุ้นสหรัฐฯ หรือหุ้นไทย หรือแบ่งไปในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ (bonds) อสังหาริมทรัพย์ (real estate) หรือแม้แต่ทองคำ (gold) ซึ่งเป็นการ การลงทุน ที่มีความสัมพันธ์กับหุ้นค่อนข้างต่ำ ก็จะช่วยลด ความเสี่ยง โดยรวมของพอร์ตได้ หากตลาดหุ้นญี่ปุ่นเกิดวิกฤต หุ้นที่เราถือในตลาดอื่น หรือสินทรัพย์อื่นๆ ก็อาจจะยังพยุง ผลตอบแทน ของเราไว้ได้
นอกจากนี้ การศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์ที่เราจะลงทุนอย่างถ่องแท้เป็นสิ่งจำเป็น นักลงทุนควรใช้เวลาอ่านหนังสือชี้ชวนกองทุนให้ละเอียด และหากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน การเงิน หรือนักวางแผนการเงินส่วนบุคคล เพราะแพลตฟอร์มการลงทุนอย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) หรือโบรกเกอร์อื่นๆ ก็มักจะมีเครื่องมือและข้อมูลให้ศึกษามากมาย ที่สำคัญคือต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเป้าหมายการเงินและระดับ ความเสี่ยง ที่เรายอมรับได้ครับ
—
**บทสรุป: ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง จงศึกษาให้ดี**
โดยสรุปแล้ว นิคเคอิ 225 เป็นดัชนีตลาดหุ้นสำคัญของญี่ปุ่นที่มีบทบาทในเศรษฐกิจโลก แม้ ผลตอบแทน ย้อนหลังในช่วงที่ผ่านมาอาจจะน้อยกว่า S&P 500 และมีความผันผวนสูงกว่า แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่ต่ำกับดัชนีอื่นๆ ก็ทำให้มันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ต การลงทุน ของเราครับ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมอยากฝากไว้เสมอคือ “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน” ไม่มีอะไร 100% ในโลกของ การลงทุน ครับ ไม่ว่าจะ นิคเคอิ 225 หรือดัชนีไหนๆ ก็ตาม ทุกการตัดสินใจควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจและยอมรับ ความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นได้
หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจของน้องเจน และนักลงทุนทุกท่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์หน้าครับ!