
ช่วงนี้หลายคนอาจจะกำลังฝันถึงทริปญี่ปุ่นสวย ๆ ที่จะได้ไปชมซากุระ สัมผัสวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ หรือลิ้มรสซูชิรสเลิศจนลืมไม่ลง แต่รู้ไหมครับว่านอกจากซากุระสวย ๆ กับอาหารอร่อย ๆ แล้ว ญี่ปุ่นยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองไม่แพ้กัน นั่นก็คือ ‘ตลาดหุ้น’ ของเขาไงล่ะครับ! และหัวใจสำคัญที่เต้นตุบๆ ในตลาดหุ้นแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ก็คือ ‘ดัชนีนิกเคอิ’ หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ นั่นแหละครับ วันนี้เราจะมาไขความลับของดัชนีนี้กันแบบเจาะลึก ให้เข้าใจง่าย ๆ เหมือนคุยกับเพื่อนข้างบ้านเลยทีเดียว
แล้วไอ้เจ้า ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ เนี่ย มันคืออะไรกันแน่? พูดง่าย ๆ มันคือดัชนีหลักที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่นครับ โดยรวบรวมหุ้นของ 225 บริษัทชั้นนำที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) มาคำนวณ ลองนึกภาพเหมือนเวลาเราดูผลสอบของห้องเรียนน่ะครับ ดัชนีนิกเคอิก็คือค่าเฉลี่ยของคะแนนนักเรียนหัวกะทิ 225 คนในห้องนั้น ยิ่งคะแนนเฉลี่ยสูงก็แสดงว่าภาพรวมของบริษัทชั้นนำเหล่านี้กำลังไปได้สวย ดัชนีนี้ถูกคำนวณโดยหนังสือพิมพ์ดังอย่าง นิฮอน เคไซ ชิมบุน (Nihon Keizai Shimbun) ซึ่งเขาจะให้น้ำหนักกับราคาหุ้นแต่ละตัว ไม่ใช่ขนาดของบริษัท ทำให้หุ้นที่มีราคาต่อหน่วยสูง ๆ มีผลต่อดัชนีมากเป็นพิเศษ ถ้าหุ้นตัวไหนราคาวิ่งขึ้นหรือลงแรง ๆ ก็จะดึงดัชนีทั้งระบบให้ขยับตามได้เลย นี่แหละครับ คือความสำคัญของ ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ ในฐานะกระจกสะท้อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เราควรรู้จัก
แต่ชีวิตมันก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป จริงไหมครับ? ตลาดหุ้นก็เช่นกัน ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ มีความผันผวนสูงปรี๊ด ไม่ต่างอะไรกับการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาเลยทีเดียว ปัจจัยที่เข้ามาเขย่าขวัญนักลงทุนก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น (เงินเยนแข็งค่า) ที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นส่งออกของได้แพงขึ้นและกำไรลดลง หรือความกังวลเรื่องปัญหาหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ (ปัญหาหนี้สหรัฐฯ) ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก แม้แต่น้ำมันแพง (ราคาน้ำมัน) ที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต หรือนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (นโยบายการเงิน) เช่น การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย (อัตราดอกเบี้ย) ก็ล้วนส่งผลกระทบถึงดัชนีนี้ทั้งสิ้น ลองนึกภาพว่าคุณกำลังขับรถไปตามถนนญี่ปุ่นสวย ๆ แต่จู่ ๆ ก็มีลมพายุพัดเข้ามา หรือมีข่าวเรื่องถนนปิดกระทันหัน นั่นแหละครับ ฟีลเดียวกับตลาดหุ้นที่เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ดังนั้น การติดตามข่าวสารและปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับนักลงทุน เพราะแค่ลมเพลมพัดนิดหน่อย ก็อาจทำให้ ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ เคลื่อนไหวรุนแรงได้แล้วครับ

แล้วอะไรกันที่เป็น ‘เครื่องจักร’ สำคัญที่ขับเคลื่อน ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ ให้พุ่งทะยานในยามปกติ? หนึ่งในพระเอกที่มักจะถูกพูดถึงบ่อย ๆ คือ ‘หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์’ ครับ ลองคิดดูสิครับว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เราใช้กันทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่รถยนต์อัจฉริยะ ล้วนต้องใช้ชิปเซมิคอนดักเตอร์แทบทั้งนั้น ด้วยความต้องการชิปทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทญี่ปุ่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ก็รับทรัพย์กันถ้วนหน้า ทำให้ดัชนีโดยรวมพลอยดีตามไปด้วย นี่จึงเป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนภายในที่สำคัญ แต่ใช่ว่าจะมองแต่ในบ้านตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ เพราะตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นก็เหมือนกับเด็กดีที่ต้องฟังพี่ ๆ เพื่อน ๆ รอบข้าง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ตลาดหุ้นสหรัฐฯ) และเศรษฐกิจจีน (เศรษฐกิจจีน) คือสองยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อญี่ปุ่นไม่น้อย เวลาที่นโยบายการเงินของสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลง (นโยบายการเงินสหรัฐฯ) เช่น การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ (เงินเฟ้อ) หรือเศรษฐกิจจีนเกิดอาการสะดุด เช่น การส่งออกลดลง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในญี่ปุ่นก็อาจจะสั่นคลอนตามไปด้วย มันเหมือนกับเวลาคุณไปปาร์ตี้ แล้วเพื่อนสนิทสองคนทะเลาะกัน คุณก็คงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย จริงไหมล่ะครับ ดังนั้น การจับตาดูข่าวสารเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงาน (การจ้างงาน) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ของประเทศมหาอำนาจจึงสำคัญไม่แพ้ข่าวในประเทศเลยทีเดียว
ไหน ๆ ก็คุยกันถึงเรื่องความผันผวนแล้ว ลองมาดูตัวเลขจริง ๆ ของ ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ กันหน่อยดีกว่า ว่ามัน ‘เหวี่ยง’ ขนาดไหน ข้อมูลที่เราจะพูดถึงนี้เป็นแค่ ‘ภาพถ่าย’ ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2568 (วันที่ 13/6/2568) นะครับ ซึ่งเป็นตัวอย่างให้เห็นภาพความผันผวน ไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์ในปัจจุบัน ณ ช่วงปิดตลาดวันนั้น ดัชนีอยู่ที่ 37,834.25 เยน ลดลงไป 0.89% ดูเหมือนไม่เยอะใช่ไหมครับ แต่ลองดูช่วงราคาในรอบวันสิครับ ตั้งแต่ 37,540.2 ถึง 38,141.59 เยน แสดงให้เห็นว่าในหนึ่งวันก็เหวี่ยงขึ้นลงได้พอสมควร ยิ่งถ้ามองย้อนไปในรอบ 52 สัปดาห์ หรือหนึ่งปีเต็ม ๆ ดัชนีเคยทำจุดสูงสุดที่ 42,426.77 เยน และต่ำสุดที่ 30,792.74 เยน! นี่มันยิ่งกว่ารถไฟเหาะอีกนะเนี่ย!
ปริมาณการซื้อขายก็ค่อนข้างคึกคัก อยู่ที่ 1.43 พันล้านหุ้นในวันนั้น แสดงให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อตลาด ส่วนเรื่องผลตอบแทนนั้น ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ ก็ขยันเซอร์ไพรส์นักลงทุนไม่เบา จะเห็นได้ว่าใน 1 เดือนลดลง -0.91% แต่ใน 3 เดือนกลับบวก 2.84% ส่วนใน 6 เดือนและ 1 ปี กลับติดลบที่ -4.15% และ -2.29% ตามลำดับ เหมือนกับคุณสั่งอาหารมาแล้วได้รสชาติไม่คงที่ในแต่ละวันเลยล่ะครับ! ตัวเลขเหล่านี้ย้ำเตือนเราว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีความผันผวนสูงจริง ๆ และผลตอบแทนก็ไม่ได้ขึ้นเป็นเส้นตรงเสมอไป
พอเห็นตัวเลขน่าเวียนหัวแบบนี้ คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วเราจะร่วมสนุกกับ ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ ได้ยังไงล่ะ? น่าเสียดายที่นักลงทุนทั่วไปไม่สามารถ ‘ซื้อ’ ดัชนีนิกเคอิได้โดยตรงเหมือนซื้อหุ้นรายตัวนะครับ เหมือนคุณไปซื้อตั๋วดูคอนเสิร์ตแต่ซื้อเวทีคอนเสิร์ตไม่ได้ยังไงยังงั้นแหละ แต่ไม่ต้องห่วง ยังมีวิธีร่วมวงด้วยการลงทุนผ่าน ‘ฟิวเจอร์ส’ (Futures – สัญญาซื้อขายล่วงหน้า) หรือ ‘กองทุน’ (Funds – กองทุนรวม) ที่อ้างอิงกับดัชนีนี้ได้ ฟิวเจอร์สก็คือสัญญาที่คุณตกลงจะซื้อหรือขายดัชนีนิกเคอิในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ณ วันที่ในอนาคต ส่วนกองทุนก็คือการที่เราเอาเงินไปให้ผู้จัดการกองทุนเขาไปบริหารจัดการ โดยผู้จัดการก็จะนำเงินไปลงทุนในหุ้นต่าง ๆ ที่อยู่ในดัชนีนิกเคอิให้เรานั่นเอง ทำให้เราสามารถ ‘เกาะติด’ ไปกับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องไปซื้อหุ้นทีละตัวให้ยุ่งยาก แพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศหลายแห่งก็มีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้เลือก เช่น Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) ซึ่งมักจะเสนอเงื่อนไขการซื้อขายที่หลากหลายให้นักลงทุนได้พิจารณา ไม่ได้เป็นการแนะนำให้ลงทุนนะครับ แต่เป็นตัวอย่างของช่องทางที่มีอยู่

พูดถึง ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ แล้วจะไม่พูดถึง ‘ดาวเด่น’ ในดัชนีก็คงจะกระไรอยู่ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อดัชนีนี้มาก ๆ ก็หนีไม่พ้นชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง โตโยต้า มอเตอร์ (Toyota Motor Corporation) หรือ TSE:7203 ที่เป็นเหมือนเรือธงของอุตสาหกรรมรถยนต์ โซนี่ กรุ๊ป (Sony Group Corporation) หรือ TSE:6758 เจ้าของแบรนด์อิเล็กทรอนิกส์และเอนเตอร์เทนเมนต์ระดับโลก และมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (Mitsubishi UFJ Financial Group) หรือ TSE:8306 บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ที่คุมหัวใจระบบการเงินญี่ปุ่น บริษัทเหล่านี้มี ‘มูลค่าตลาด’ (Market Value) สูงมาก จนสามารถเขย่าดัชนีได้เลยทีเดียว
แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นราคาแพง ๆ จะเป็นบริษัทใหญ่เสมอไปนะครับ ลองดู คีย์เอนซ์ คอร์ปอเรชั่น (Keyence Corporation) หรือ TSE:6861, เอสเอ็มซี คอร์ปอเรชั่น (SMC Corporation) หรือ TSE:6273, และฟาสต์ รีเทลลิ่ง (Fast Retailing Co., Ltd.) หรือ TSE:9983 ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ยูนิโคล่ หุ้นเหล่านี้มีราคาต่อหุ้นสูงลิ่วก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่ามูลค่าตลาดรวมจะสูงที่สุดเสมอไป บางบริษัทมีหุ้นน้อยแต่ราคาแพง หุ้นที่มีราคาต่อหน่วยสูงในดัชนีนิกเคอิจะมีผลต่อการคำนวณดัชนีมากเป็นพิเศษ ทำให้เวลาที่หุ้นเหล่านี้ขึ้นหรือลง ดัชนีโดยรวมก็มีโอกาสที่จะขยับตามแรงกว่าหุ้นที่มีราคาต่อหน่วยต่ำกว่านั่นเอง
และที่น่าสนใจคือผลงานของแต่ละบริษัทก็แตกต่างกันลิบลับ เหมือนกับการดูผลคะแนนในห้องเรียนที่มีทั้งเด็กเรียนดีมาก ๆ กับเด็กที่ต้องปรับปรุง ปีที่ผ่านมา มิตซุย อีแอนด์เอส โฮลดิ้งส์ (Mitsui E&S Holdings Co., Ltd.) หรือ TSE:7013 ทำผลตอบแทนได้น่าทึ่งถึง 254.32%! แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่โดดเด่น ในทางกลับกัน เลเซอร์เทค คอร์ปอเรชั่น (Lasertec Corporation) หรือ TSE:6920 กลับทำผลงานได้น่าผิดหวัง ลดลงไปถึง -67.82% ซึ่งอาจมาจากปัจจัยเฉพาะของบริษัทหรือสถานการณ์ตลาดที่เกี่ยวข้อง การที่ดัชนีนิกเคอิรวบรวมบริษัทหลากหลายอุตสาหกรรมและมีผลงานแตกต่างกันเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้การวิเคราะห์และการลงทุนในดัชนีนี้มีความซับซ้อนและน่าติดตามไม่น้อยเลยครับ
มาถึงตรงนี้ คุณคงพอจะมองเห็นภาพแล้วว่า ตัวเปิดหุ้นนิเคอิ ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาน แต่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่มีชีวิตชีวาและผันผวน มันเป็นดัชนีที่บอกเล่าเรื่องราวของบริษัทชั้นนำ การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก และความเชื่อมั่นของนักลงทุน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือกำลังมองหาโอกาสในการกระจายความเสี่ยง (กระจายความเสี่ยง) การศึกษาทำความเข้าใจดัชนีนิกเคอิอย่างลึกซึ้งจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก
แต่จำไว้เสมอว่า ‘การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน’ ไม่มีอะไรในตลาดหุ้นที่การันตีผลตอบแทนได้ 100% หรอกนะครับ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างตลาดหุ้นญี่ปุ่น การติดตามข่าวสาร การทำความเข้าใจปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงการพิจารณาลงทุนผ่านผู้ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณก้าวเดินในเส้นทางนี้ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณ ‘เปิดโลก’ การลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ไม่มากก็น้อย และขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนครับ!