เจาะลึกดาวโจนส์: กราฟเศรษฐกิจโลกที่นักลงทุนต้องอ่านเกมให้ขาด!

ดาวโจนส์ กราฟชีวิตเศรษฐกิจโลก ที่คุณต้องรู้

เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งชื่อ “ปั้น” ถามผมเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “เฮ้ย! ดัชนีดาวโจนส์เนี่ย มันคืออะไรวะ? เห็นข่าวพูดถึงบ่อยๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเงินในกระเป๋าเราด้วย?” ผมฟังแล้วก็อมยิ้ม เพราะนี่คือคำถามสุดคลาสสิกที่นักลงทุนมือใหม่ (และมือเก่าที่ยังงงๆ) มักจะสงสัยกันครับ วันนี้ผมเลยอยากจะชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ “ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า DJIA (ซึ่งต่อไปจะขอเรียกว่า ดัชนีดาวโจนส์ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ) เปรียบเสมือนเครื่องวัดสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และแน่นอนว่า มีผลต่อชีวิตและเงินในกระเป๋าของเราอย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะครับ

เวลาเราดูข่าวเศรษฐกิจ หรือเปิดแอปฯ การลงทุนบ่อยๆ เรามักจะเห็น `dow jones กราฟ` เคลื่อนไหวขึ้นลงให้ลุ้นกันอยู่เสมอ ดัชนีดาวโจนส์นี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขลอยๆ นะครับ แต่เป็นการรวมตัวของหุ้น 30 บริษัทขนาดใหญ่ยักษ์ของสหรัฐฯ ที่อยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การเงิน อุตสาหกรรม หรือสุขภาพ ซึ่งเปรียบเสมือนทีมฟุตบอลรวมดาราที่เก่งที่สุด 30 คนในลีกเลยก็ว่าได้ ถ้าทีมนี้เล่นดี เศรษฐกิจอเมริกาก็มีแนวโน้มจะแข็งแรงตามไปด้วยนั่นเองครับ

ทีนี้ มาดูผลงานล่าสุดกันดีกว่าครับว่าทีมรวมดาราอย่างดัชนีดาวโจนส์เขาทำอะไรไว้บ้าง ข้อมูลจาก Investing.com และ TradingView ชี้ให้เห็นว่าดัชนีนี้มีการเติบโตที่น่าสนใจในช่วงที่ผ่านมา ลองนึกภาพว่าคุณกำลังดูผลสอบของห้องเรียนรวมดาราประจำปี ผลปรากฏว่า: สัปดาห์ที่ผ่านมาคะแนนรวมพุ่งขึ้นไป 4.05% เดือนที่ผ่านมาก็บวกไป 5.97% และถ้าย้อนไปดูตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นถึง 13.90% เลยทีเดียวครับ แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะชี้ให้เห็นทั้งสัญญาณซื้อและขายที่แข็งแกร่งปะปนกันไป (เหมือนผลสอบบางวิชาดี บางวิชาต้องปรับปรุง) แต่ภาพรวมก็ถือว่าอยู่ในทิศทางที่สดใสพอสมควรเลยนะครับ การที่ `dow jones กราฟ` แสดงทิศทางบวกแบบนี้ ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังไปได้สวย ซึ่งอาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกและบรรยากาศการลงทุนโดยรวมครับ

สงสัยไหมว่า บริษัทไหนบ้างที่อยู่ในลิสต์รวมดาราทั้ง 30 บริษัทนี้? แน่นอนว่าต้องเป็นบริษัทที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ ครับ ถ้ามองจากมูลค่าตลาดสูงสุด เราก็จะเห็นชื่อคุ้นหูอย่าง NVDA, MSFT (ไมโครซอฟท์), และ AAPL (แอปเปิล) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ครองโลกอยู่ทุกวันนี้ แต่ถ้าดูจากราคาหุ้นต่อหน่วยที่สูงลิ่ว ก็จะมี GS (โกลด์แมน แซคส์), MSFT (ไมโครซอฟท์) อีกแล้ว! และ CAT (แคทเธอร์พิลลาร์) ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องจักรก่อสร้างยักษ์ใหญ่ ที่น่าสนใจคือ ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา IBM ทำผลตอบแทนได้สุดยอดถึง +64.14% เลยทีเดียว แต่ก็มีบางบริษัทที่สะดุดไปบ้าง อย่าง UNH (ยูไนเต็ดเฮลท์กรุ๊ป) ที่ติดลบไป 37.93% นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า แม้จะเป็นหุ้นบริษัทใหญ่ แต่ก็มีความผันผวนและความท้าทายอยู่เสมอครับ

พอเห็นแล้วคันไม้คันมือ อยากลงทุนในดัชนีดาวโจนส์บ้าง ทำยังไงดีล่ะ? ต้องบอกว่าเราไม่สามารถลงทุนในดัชนีดาวโจนส์ได้โดยตรงเหมือนซื้อหุ้นรายตัวนะครับ เพราะดัชนีมันคือ “ค่าเฉลี่ย” ที่สะท้อนภาพรวม ไม่ใช่สินทรัพย์ที่มีตัวตนให้จับต้องได้ แต่เรามีทางเลือกในการ “ร่วมวง” กับดัชนีนี้ได้หลายวิธีครับ

วิธีแรกคือการลงทุนผ่าน “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” (Futures) ของดัชนีดาวโจนส์ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังซื้อตั๋วดูหนังล่วงหน้า เพื่อหวังว่าราคาตั๋วจะขึ้นในอนาคต แต่ถ้าหนังไม่ดังอย่างที่คิด ตั๋วก็อาจจะราคาตกได้เช่นกัน การลงทุนแบบนี้มักจะมี “เลเวอเรจ” หรือการใช้เงินจำนวนน้อยเพื่อควบคุมมูลค่าการลงทุนที่สูงขึ้น ซึ่งก็หมายถึงโอกาสทำกำไรที่สูงขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงในการขาดทุนที่สูงขึ้นเช่นกันครับ เหมาะสำหรับคนที่มีความเข้าใจตลาดและยอมรับความเสี่ยงได้สูง

วิธีที่สองคือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” (Funds) ที่อ้างอิงดัชนีดาวโจนส์ วิธีนี้เปรียบเสมือนเราซื้อแพ็กเกจทัวร์ที่บริษัททัวร์จัดให้แล้วเรียบร้อย ในแพ็กเกจนั้นก็จะมีบริษัท 30 แห่งนี้อยู่ เราไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นเองให้ปวดหัว กองทุนจะจัดการให้ทั้งหมด ซึ่งสะดวกและกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า แต่ก็จะมีค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน และผลตอบแทนก็จะอิงตามผลงานของดัชนีนั้นๆ ครับ นี่เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่เชี่ยวชาญการเลือกหุ้น หรือคนที่อยากลงทุนระยะยาวแบบสบายๆ

และวิธีสุดท้ายคือการ “ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี” นั่นก็คือการทยอยซื้อหุ้นของบริษัทในดัชนีทีละตัว เช่น ซื้อหุ้น Microsoft, Apple, หรือ IBM โดยตรง เหมือนเราเลือกซื้อของชิ้นโปรดจากร้านค้าเองทีละชิ้น วิธีนี้ให้ความยืดหยุ่นสูง แต่ก็ต้องศึกษาข้อมูลบริษัทแต่ละแห่งให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน และต้องใช้เงินลงทุนที่ค่อนข้างมากหากอยากจะกระจายลงทุนให้ครอบคลุมหลายๆ ตัวครับ

แต่ก่อนจะกระโจนลงสนาม มาทำความเข้าใจธรรมชาติของตลาดกันก่อนดีกว่าครับ การดู `dow jones กราฟ` ย้อนหลังจะช่วยให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่าตลาดหุ้นมี “วัฏจักร” ของมัน เหมือนกับฤดูกาลในแต่ละปีนั่นแหละครับ เรามักจะพูดถึง “ตลาดกระทิง” (Bull Market) ที่ทุกอย่างดูสดใส ราคาหุ้นมีแนวโน้มขาขึ้น จุดสูงสุดใหม่จะสูงกว่าจุดสูงสุดเดิม เหมือนกระทิงที่ขวิดขึ้น การลงทุนในตลาดกระทิงก็เน้นสร้างความมั่งคั่ง สร้างผลตอบแทนสัมพัทธ์ที่สูง เพราะสภาพตลาดเอื้ออำนวยให้เงินงอกเงยง่ายขึ้นครับ

ตรงกันข้ามก็คือ “ตลาดหมี” (Bear Market) ที่ดูหม่นหมองลงมาหน่อย ราคาหุ้นมีแนวโน้มขาลง จุดสูงสุดใหม่จะไม่สูงกว่าจุดสูงสุดเดิม เหมือนหมีที่ตะปบลง การลงทุนในตลาดหมีจึงต้องเน้นการรักษามูลค่า เน้นผลตอบแทนที่แท้จริง เพราะสภาพตลาดไม่เป็นใจ การเลือกกลยุทธ์การลงทุนจึงต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะตลาดนั้นๆ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวครับ เหมือนเราต้องเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับสภาพอากาศ ถ้าอากาศดีก็แต่งตัวสบายๆ ถ้าพายุเข้าก็ต้องหาเสื้อกันฝนมาใส่ การศึกษาข้อมูลสถิติย้อนหลัง เช่น ราคาเปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด, ราคาปิด และปริมาณการซื้อขายของดัชนีดาวโจนส์ในช่วงเวลาต่างๆ (อย่างเช่นข้อมูลระหว่างเมษายน 2022 – เมษายน 2023 ที่มีการบันทึกไว้) จะช่วยให้เรามองเห็นรูปแบบและแนวโน้ม เพื่อวางแผนรับมือกับตลาดในอนาคตได้ดีขึ้นครับ

สุดท้ายนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่อยากจะย้ำเตือนคือ ดัชนีดาวโจนส์นั้นประกอบด้วยหุ้น 30 ตัวที่คัดเลือกมาจากบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ และถือเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการวัดผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนทั่วโลกเลยทีเดียวครับ ดัชนีนี้จะมีการอัปเดตทุกวันเมื่อตลาดปิดทำการ เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุด แต่! ⚠️ โปรดจำไว้ว่า ข้อมูลที่มีให้เห็นนี้ อาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์ หรือถูกต้องแม่นยำเสมอไป และที่สำคัญที่สุดคือ “การลงทุนในตลาดการเงินมีความเสี่ยงเสมอ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง” นะครับ! ไม่ว่าจะเป็นหุ้นรายตัว สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือกองทุนรวม ต่างก็มีความเสี่ยงที่ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนนำเงินไปลงทุนเสมอ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจเรื่อง `dow jones กราฟ` และดัชนีดาวโจนส์ให้กับเพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อยนะครับ จำไว้นะครับว่าการลงทุนในตลาดหุ้นมันไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำกำไรได้เสมอไป สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง” และ “การเข้าใจตัวเอง” ว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ก่อนจะตัดสินใจกระโจนเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนที่น่าตื่นเต้นนี้ครับ! และอย่าลืมว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง” นะครับ!

Leave a Reply