สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น (Consumer Staples) คืออะไร? ลงทุนอย่างไรให้รอด!

สวัสดีครับนักลงทุนและผู้ที่สนใจเรื่องราวการเงินทุกคน! วันนี้ผมขอชวนคุยเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอาจมองข้ามไป แต่กลับมีบทบาทสำคัญในพอร์ตการลงทุนของเราอย่างไม่น่าเชื่อ ลองจินตนาการถึงชีวิตประจำวันของเราดูนะครับ ตื่นเช้ามาก็ต้องแปรงฟัน กินอาหารเช้า ใช้สบู่ซักผ้า แล้วระหว่างวันก็อาจจะมีน้ำอัดลมแก้กระหาย หรือซื้อของใช้ในบ้านเพิ่มเติม สิ่งเหล่านี้ดูธรรมดาใช่ไหมครับ? แต่ของพวกนี้นี่แหละที่นักลงทุนเขาเรียกกันว่า “สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น” หรือที่ในวงการเขาเรียกกันว่า consumer staples คือ กลุ่มที่ขาดไม่ได้ในชีวิตจริง ๆ นั่นแหละครับ

ในทางกลับกัน บางวันคุณอาจจะรู้สึกอยากให้รางวัลตัวเองหน่อย เลยไปดูรถคันใหม่ หรือซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นสวย ๆ หรือวางแผนไปเที่ยวต่างประเทศ พักโรงแรมหรู ๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็น “สินค้าฟุ่มเฟือย” ครับ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Consumer Discretionary พูดง่ายๆ ว่ามีเงินเหลือ มีอารมณ์อยากได้ก็ซื้อ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากเท่าของใช้จำเป็น

เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเวลาเศรษฐกิจซบเซา บริษัทบางแห่งกลับยังยืนหยัดอยู่ได้ ในขณะที่บางบริษัทกลับร่วงหนักเสียยิ่งกว่าใบไม้ร่วง? คำตอบก็ซ่อนอยู่ในสองกลุ่มสินค้าที่เรากำลังจะคุยกันวันนี้แหละครับ การเข้าใจความแตกต่างของสองกลุ่มนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมเศรษฐกิจและวางแผนการเงินส่วนตัวได้ดีขึ้นอีกด้วยนะครับ เหมือนกับการที่เราจะเดินทางไกล ก็ต้องรู้ว่าถนนเส้นไหนเป็นทางหลวงที่เรียบง่าย ถนนเส้นไหนเป็นทางลูกรังที่ขรุขระนั่นแหละครับ

***

**มองให้ลึก: เมื่อของจำเป็นกับของฟุ่มเฟือยไม่เหมือนกัน**

ถ้าเปรียบชีวิตเป็นเหมือนละครเวที กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น หรือ consumer staples คือ ตัวละครหลักที่อยู่บนเวทีตลอด ไม่ว่าฉากจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะสุข เศร้า หรือวิกฤต พวกเขาก็ยังคงความสำคัญอยู่เสมอ สินค้าเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ยาสีฟัน สบู่ ผงซักฟอก และของใช้ในบ้านอื่น ๆ ที่ถึงแม้เศรษฐกิจจะไม่ดี รายได้ลดลง แต่เราก็ยังคงต้องซื้อมาใช้เป็นปกติครับ ความต้องการสินค้าเหล่านี้ค่อนข้างคงที่ ทำให้บริษัทในกลุ่มนี้มีรายได้ที่สม่ำเสมอ และความผันผวนของราคาหุ้นก็มักจะต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ ครับ

ลองนึกถึงแบรนด์คุ้นหูอย่าง Nestle (เนสท์เล่), Coca-Cola (โคคา-โคล่า), Pepsico (เป๊ปซี่โค), P&G (พีแอนด์จี), Unilever (ยูนิลีเวอร์), L’oreal (ลอรีอัล), Walmart (วอลมาร์ท) หรือ Costco Wholesale (คอสต์โค วอลเซล) สิครับ บริษัทเหล่านี้คือยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ consumer staples คือ ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่คนทั่วโลกขาดไม่ได้ สังเกตไหมครับว่าหุ้นของบริษัทเหล่านี้มักจะถูกมองว่าเป็น “หุ้นตั้งรับ” (Defensive Stocks) หรือ “หุ้นกลุ่มคุณค่า” (Value Stocks) ที่พร้อมจะปกป้องพอร์ตเราในยามที่ตลาดผันผวนหรือเศรษฐกิจไม่เป็นใจ

ตรงกันข้ามกับสินค้าฟุ่มเฟือย หรือ Consumer Discretionary พวกนี้คือตัวละครเสริมที่มาสร้างสีสันให้กับฉาก เมื่อเศรษฐกิจดี ผู้คนมีกำลังซื้อ มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น พวกเขาก็พร้อมที่จะใช้จ่ายไปกับความสุขสบายหรือสิ่งที่เติมเต็มความต้องการส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่น รถยนต์คันหรู โรงแรมที่พักสวย ๆ บริการท่องเที่ยว หรือสินค้าอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ Demand (ดีมานด์) หรือความต้องการสินค้ากลุ่มนี้จะพุ่งพรวดขึ้นมาทันที ทำให้บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ในทางกลับกัน เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้คนเริ่มรัดเข็มขัด สินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้ก็จะเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ถูกตัดออกจากรายการใช้จ่าย ทำให้รายได้ของบริษัทกลุ่มนี้ลดลงฮวบฮาบ หุ้นในกลุ่มนี้จึงมีความผันผวนสูงมากตามสภาวะเศรษฐกิจครับ เปรียบเหมือนม้าเร็วที่วิ่งได้เร็วจัดเมื่อถนนเรียบ แต่ก็สะดุดล้มได้ง่ายเมื่อเจอทางขรุขระครับ

ในดัชนี MSCI World (เอ็มเอสซีไอ เวิลด์) ที่รวบรวมบริษัทขนาดกลางและใหญ่ทั่วโลก ก็มีกลุ่ม Consumer Discretionary ที่มีหุ้นเด่น ๆ อย่าง Amazon (อเมซอน), Tesla (เทสล่า), Home Depot (โฮมดีโปต์), LVMH (แอลวีเอ็มเอช), Sony (โซนี่), Toyota (โตโยต้า), McDonald (แมคโดนัลด์) และ Starbucks (สตาร์บัคส์) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส นี่คือกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนมองหาโอกาสในการเติบโตสูง หรือ “หุ้นกลุ่มเติบโต” (Growth Stocks) นั่นเองครับ

***

**เรื่องของผลตอบแทนและความเสี่ยง: เมื่อสปีดต่างกัน เป้าหมายก็ต่างกัน**

คุณอาจจะถามว่า แล้วเราควรจะเลือกลงทุนในกลุ่มไหนดีล่ะ? เหมือนกับว่าเราจะแข่งวิ่ง คุณก็ต้องเลือกว่าจะเป็นนักวิ่งลมกรดที่เน้นทำลายสถิติ หรือเป็นนักวิ่งมาราธอนที่เน้นความสม่ำเสมอและเข้าเส้นชัยให้ได้

จากข้อมูลที่ผ่านมา สินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) นั้นมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาวเมื่อเทียบกับสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่ง เพราะเมื่อคนมีเงิน การใช้จ่ายก็จะพุ่งสูงขึ้น แต่เหรียญอีกด้านหนึ่งคือ ความเสี่ยงที่สูงกว่ามากตามไปด้วยครับ ความผันผวนของหุ้นกลุ่มนี้สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขาอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย หรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ลองดูจากแนวโน้มตลาดในช่วงที่ผ่านมาก็ได้ครับ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา (ประมาณกุมภาพันธ์) กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากลุ่มสินค้าจำเป็น เพราะตลาดมีความคาดหวังว่าธนาคารกลางต่าง ๆ จะผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน หรือเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลง ทำให้ผู้คนมีกำลังจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่เราเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูงและการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยกลับติดลบมากกว่ากลุ่มสินค้าจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด นั่นเป็นเพราะผู้บริโภครู้สึกถึงแรงกดดันทางการเงิน ทำให้ต้องลดการใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นลงไป

ในทางกลับกัน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น หรือ consumer staples คือ กลุ่มที่โดดเด่นในเรื่องของความสม่ำเสมอครับ หุ้นกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงกว่าและมีความผันผวนน้อยกว่ามาก เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน หรือในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังซบเซา เปรียบเหมือนบ้านที่มีรากฐานมั่นคง ไม่ว่าจะเจอพายุลมแรงแค่ไหนก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ได้ ถึงแม้ว่าผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวาเท่ากลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยในยามที่เศรษฐกิจรุ่งโรจน์ แต่ก็เป็นเหมือนเกราะป้องกันพอร์ตการลงทุนของเราไม่ให้เสียหายหนักจนเกินไปในยามวิกฤตครับ

จากตัวเลขสถิติบางอย่างที่ยกมาจาก VDC ETF (วีดีซี อีทีเอฟ) ซึ่งเป็นกองทุน ETF (อีทีเอฟ) ที่เน้นลงทุนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค จะพบว่ามีอัตราเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ประมาณ 2.26% อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) อยู่ที่ 21.72 เท่า และมีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) สูงถึง 7.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีอัตราค่าใช้จ่าย (Expense Ratio) เพียง 0.09% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงและโอกาสในการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอของกลุ่ม consumer staples คือ กลุ่มที่นักลงทุนระยะยาวมักจะมองหาครับ

***

**วางแผนการลงทุน: ปรับพอร์ตให้เข้ากับจังหวะตลาด**

เมื่อเข้าใจความแตกต่างและลักษณะเฉพาะของหุ้นทั้งสองกลุ่มแล้ว คำถามต่อมาคือ เราจะนำความรู้นี้ไปใช้ในการลงทุนได้อย่างไร? เหมือนกับการที่เราจะเลือกยานพาหนะให้เหมาะสมกับเส้นทางที่เราจะไปนั่นแหละครับ

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและกระจายความเสี่ยง การมีหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ consumer staples คือ ส่วนสำคัญในพอร์ตครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก หรือกำลังกังวลกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ การเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มนี้จะช่วยให้พอร์ตของคุณมีความแข็งแกร่งมากขึ้น เหมือนมีเบาะรองรับเมื่อรถของคุณต้องวิ่งผ่านถนนขรุขระครับ กองทุนรวม (Mutual Fund) หลายแห่งก็เน้นลงทุนในกลุ่มนี้เพื่อความมั่นคง เช่น กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล คอนซูเมอร์ (TISCOGC) ที่ลงทุนในหุ้นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นผ่าน iShares Global Consumer Staples ETF (ไอแชร์ส โกลบอล คอนซูเมอร์ สเตเปิลส์ อีทีเอฟ) ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่อยากเข้าถึงหุ้นกลุ่มนี้โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว

ในทางกลับกัน หากคุณเป็นนักลงทุนที่พร้อมรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น และกำลังมองหาโอกาสในการเติบโตของเงินลงทุน หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเป็นขาขึ้น ผู้บริโภคมีกำลังซื้อ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยกำลังจะปรับลดลง การเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มนี้อาจช่วยให้พอร์ตของคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้นครับ

กลยุทธ์การลงทุนที่ชาญฉลาดคือการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนให้เข้ากับสภาวะเศรษฐกิจครับ เหมือนกับการที่คุณรู้ว่าช่วงไหนควรเร่งความเร็ว และช่วงไหนควรชะลอความเร็ว

* **ช่วงตลาดขาขึ้น (Bull Market) หรือเศรษฐกิจเติบโต:** เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูง รายได้ของบริษัทกลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโตดี ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วยครับ
* **ช่วงตลาดขาลง (Bear Market) หรือเศรษฐกิจชะลอตัว/ถดถอย:** นี่คือเวลาที่ควรลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยลง หรืออาจจะพิจารณา “ชอร์ต” (Short) หุ้นกลุ่มนี้หากเป็นไปได้ และหันมาเพิ่มน้ำหนักให้กับหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ consumer staples คือ ที่พึ่งพาได้ในยามที่สถานการณ์ไม่เป็นใจ เพราะความต้องการสินค้าจำเป็นยังคงมีอยู่ ทำให้หุ้นกลุ่มนี้มีความผันผวนต่ำกว่าและให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ

แม้ว่าในระยะยาว (เช่น 10 ปีที่ผ่านมา) กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยจะให้ผลตอบแทนรวมที่สูงกว่ากลุ่มสินค้าจำเป็น แต่ก็แลกมาด้วยความผันผวนที่สูงกว่ามากเช่นกัน ดังนั้น การทำความเข้าใจ “ความเสี่ยงที่รับได้” ของตัวคุณเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก่อนจะตัดสินใจลงทุนในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือจะลงทุนทั้งสองกลุ่มในสัดส่วนที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของคุณเองครับ

***

**บทสรุป: สร้างพอร์ตที่แข็งแกร่งด้วยความเข้าใจ**

การลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ได้มีแค่การเลือกบริษัทที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำความเข้าใจภาพรวมของอุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการเติบโต การรู้ว่า consumer staples คือ อะไร และ Consumer Discretionary คืออะไร ไม่ใช่แค่ศัพท์ทางการเงินที่ซับซ้อน แต่คือหลักคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ที่จะช่วยให้คุณสร้างพอร์ตการลงทุนที่ยืดหยุ่นและตอบรับกับทุกสภาวะเศรษฐกิจได้

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจลงทุนในกลุ่มใด ๆ อย่าลืมพิจารณาเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้เสมอครับ หากคุณต้องการความมั่นคงและกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นก็เป็นเหมือนกองทัพที่แข็งแกร่งในพอร์ตของคุณ แต่ถ้าคุณมองหาการเติบโตที่รวดเร็วและพร้อมรับความผันผวน หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยก็อาจเป็นส่วนที่เติมเต็มความต้องการนั้นได้

⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ การปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนตามสภาวะเศรษฐกิจต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลและการตัดสินใจอย่างรอบคอบ หากสภาพคล่องทางการเงินของคุณไม่สูงมากนัก และยังไม่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการพอร์ตเชิงรุกมาก่อน การลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นเหล่านี้ อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าและช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาสได้โดยไม่ต้องลงมือเลือกหุ้นเองโดยตรงครับ

สุดท้ายนี้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านมองเห็นภาพรวมของการลงทุนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าฟุ่มเฟือยได้ชัดเจนขึ้นนะครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างชาญฉลาดและมีความสุขกับการสร้างความมั่งคั่งครับ!

Leave a Reply