
ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดข่าวการเงินหน้าไหน เป็นต้องได้ยินคำว่า “หุ้นญี่ปุ่น” หรือ “ตลาดหุ้นนิเคอิ” ดังกระหึ่มไปหมดเลยนะครับ ดูเหมือนว่าบรรยากาศการลงทุนในแดนอาทิตย์อุทัยกำลังคึกคักเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าเพื่อนซี้ของผม ‘เจ๊เล็ก’ ที่ปรกติไม่เคยจะสนใจเรื่องหุ้นญี่ปุ่น ก็ยังส่งข้อความมาถามว่า “นี่มันน่าสนใจจริงหรือเปล่า? ถึงเวลาไปบุกแดนอาทิตย์อุทัย หรือแค่หลงแสงสี?”
คำถามของเจ๊เล็กนี่โดนใจนักเขียนคอลัมน์การเงินอย่างผมเลยครับ เพราะมันสะท้อนความรู้สึกของนักลงทุนหลายคนที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ ในภาวะที่ตลาดหุ้นบ้านเรายังดูไม่ค่อยสดใสนัก วันนี้ผมในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงินที่คลุกคลีกับตัวเลขมานาน เลยอยากจะชวนทุกคนมา “ถอดรหัส” การลงทุนใน “หุ้นนิเคอิ” กันแบบเจาะลึก แต่เข้าใจง่าย เหมือนชวนเพื่อนมานั่งคุยจิบกาแฟสบายๆ ครับ
**มองทะลุ ‘หุ้นนิเคอิ’… อะไรที่ทำให้ร้อนแรง?**
ถ้าจะให้การวิเคราะห์หุ้นนิเคอิแบบตรงไปตรงมาในตอนนี้ ต้องบอกว่าสัญญาณทางเทคนิคก็ยังดูเป็นบวกนะครับ ดัชนี Nikkei 225 ปิดล่าสุดอยู่ที่ 35,705.74 จุด (ซึ่งเป็นช่วงปลายปี 2567-ต้นปี 2568) โดยช่วงระยะ 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีมีการเคลื่อนไหวจาก 30,792.74 จุด ไปจนถึง 42,426.77 จุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่น่าจับตา และถ้าดูจากตัวชี้วัดทางเทคนิคและค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ต่างๆ ก็ยังส่งสัญญาณ “ซื้อทันที” นี่แหละครับที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาให้ความสนใจ
ไม่แปลกใจเลยครับที่นักวิเคราะห์ระดับโลกอย่าง JP Morgan Chase Bank และ Mr. Jesper Koll จาก Monex Group ถึงกับออกมาพยากรณ์ว่า ดัชนี Nikkei 225 อาจพุ่งไปแตะ 55,000 จุด ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มเป้าหมายจากเดิมที่เคยมองไว้แค่ 40,000 จุดเท่านั้นเองครับ ความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ฟันธงได้เลยว่า ส่วนหนึ่งมาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ที่ทำสถิติกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 15 ล้านล้านเยน ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และยังมีการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี Topix ไปถึง 188 จุดอีกด้วย ตัวเลขเหล่านี้มันฟ้องชัดๆ ว่า “พื้นฐานเขาดีจริง” ไม่ได้แค่ปั่นกระแสขึ้นมาเฉยๆ
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ช่วยหนุนให้กำไรบริษัทญี่ปุ่นพุ่งกระฉูด ก็คือ “ค่าเงินเยนที่อ่อนปวกเปียก” ครับ เหมือนเวลาเราขายของแล้วต้นทุนเป็นเงินบาท แต่ได้เงินดอลลาร์กลับมาเยอะๆ นั่นแหละครับ บริษัทส่งออกของญี่ปุ่นก็แฮปปี้กันถ้วนหน้า เพราะสามารถส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคต่างประเทศได้ง่ายขึ้น แต่ก็อย่างว่าครับ “เงินเยนอ่อนค่า” มันก็เหมือนดาบสองคม อีกด้านหนึ่งมันก็สร้างแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อในประเทศ ทำให้ค่าครองชีพของคนญี่ปุ่นสูงขึ้นตามไปด้วย

**เมื่อกัปตัน BOJ ขยับตัว… ทิศทางลมเปลี่ยน?**
เรื่องของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) นี่แหละครับที่เป็นตัวแปรสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาไม่กะพริบตา เพราะ BOJ ก็เหมือนกัปตันเรือที่กำลังพยายามคุมเรือท่ามกลางกระแสลมเปลี่ยนทิศ หลังจากที่ BOJ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี เมื่อช่วงต้นปี 2568 ทำให้นโยบายดอกเบี้ยติดลบที่ใช้มานานเป็นอันสิ้นสุดลง นักลงทุนกำลังจับตาการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่สองอย่างใจจดใจจ่อ เพราะการขึ้นดอกเบี้ยหมายถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง “หุ้นกลุ่มธนาคาร” ก็คึกคักเป็นพิเศษ เพราะคาดหวังกำไรที่มากขึ้นจากการปล่อยสินเชื่อ
แต่ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ BOJ เล่นเซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการประกาศแผนลดวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรในเดือนกรกฎาคม ซึ่งส่งผลให้ตลาดเกิดความไม่แน่นอนต่อทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต นักวิเคราะห์บางส่วนก็กังวลว่า BOJ อาจจะ “ชะลอ” การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่สองออกไปอีก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หุ้นกลุ่มธนาคารที่เคยคึกคักก็อาจจะแผ่วลงได้ครับ โอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมก็ลดลงตามลำดับ นี่แหละครับความท้าทายของนักลงทุน คือต้องตามให้ทันเกมของ BOJ เสมอ
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเองก็มีทั้งข่าวดีและสิ่งที่ต้องจับตาครับ นอกจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่งแล้ว ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ก็เป็นอีกตัวเลขที่น่าสนใจ แม้ว่า CPI จะหดตัว 0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ซึ่งดูไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ดีกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจทำให้ BOJ มีพื้นที่หายใจในการพิจารณานโยบายมากขึ้น
**เหลียวมอง ‘ตลาดหุ้นไทย’… ทำไมต้องมองหาทางเลือก?**
ทีนี้ลองมาเหลียวมองบ้านเรา ‘ตลาดหุ้นไทย’ กันบ้างครับ ในช่วงที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกำลังทะยาน “วิเคราะห์หุ้นนิเคอิ” กันอย่างสนุกสนาน แต่ดัชนี SET ของเรากลับเคลื่อนไหวในแดนลบมาตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน 2568 แม้จะมีบางวันปิดบวกเล็กน้อย อย่างเช่นวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ที่ปิดเช้าบวก 0.25% มาอยู่ที่ 1,162.97 จุด แต่ภาพรวมยังไม่สดใสนัก
ปัจจัยหลักๆ ที่กดดันตลาดหุ้นไทยก็หนีไม่พ้น “ความไม่แน่นอนทางการเมือง” ที่ลากยาวมาโดยตลอด และ “เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า” ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่กลับมาเต็มที่ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ หรือการเจรจาทางการค้าไทย-สหรัฐฯ เข้ามาเป็นปัจจัยหนุนบ้าง แต่ดูเหมือนจะยังไม่พอที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนให้กลับมาคึกคักเหมือนเดิม นักลงทุนก็เลยชะลอการลงทุน ขาดความเชื่อมั่นที่จะใส่เงินก้อนโตเข้ามา นี่แหละครับที่ทำให้หลายคนเริ่มมองหา ‘ทางเลือก’ การลงทุนในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงและหาโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่า
นอกจากปัจจัยภายในประเทศแล้ว ปัจจัยภายนอกอย่าง “ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน” ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงที่กระทบต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพราะความขัดแย้งเหล่านี้มีผลต่อราคาน้ำมันโลกและภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้ Sentiment การลงทุนโดยรวมดูไม่สดใสนัก
**ก่อนจะพุ่งตัวใส่ ‘หุ้นนิเคอิ’ เต็มตัว… ต้องระวังอะไรบ้าง?**
แม้ว่าหุ้นนิเคอิจะดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่ก่อนจะตัดสินใจพุ่งตัวใส่เต็มตัว เราก็ต้องมองภาพให้ครบทุกด้านนะครับ เหมือนเวลาเราจะซื้อของชิ้นใหญ่ๆ ก็ต้องดูก่อนว่าคุ้มค่าไหม มีข้อควรระวังอะไรบ้าง
* **ความไม่แน่นอนของการปฏิรูปการกำกับดูแลกิจการ:** ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงโครงสร้างการกำกับดูแลกิจการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง
* **นโยบายการเงินของ BOJ:** แม้จะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แต่การดำเนินนโยบายที่อาจไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ก็อาจสร้างความผันผวนได้ เหมือนที่ BOJ ประกาศลดการซื้อพันธบัตรออกมาเซอร์ไพรส์นั่นแหละครับ
* **ความผันผวนของค่าเงินเยน:** อย่างที่บอกไปครับ เงินเยนที่อ่อนค่านั้นดีต่อบริษัทส่งออก แต่ก็อาจเป็นปัจจัยลบสำหรับนักลงทุนที่ต้องแลกเงินบาทไปลงทุน หากเงินเยนกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็อาจจะส่งผลต่อผลตอบแทนในรูปเงินบาทได้
* **ความเสี่ยงจากภายนอก:** ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าโลก การปรับขึ้นอัตราภาษี หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ล้วนเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้และอาจส่งผลกระทบต่อตลาดได้ทุกเมื่อ
* **นักลงทุนต่างชาติเริ่มระมัดระวัง:** ข้อมูลระบุว่า นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีอาการระมัดระวังและมีการเทขายสุทธิหุ้นญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

**สรุปง่ายๆ การวิเคราะห์หุ้นนิเคอิในวันนี้ เหมือนกำลังยืนอยู่บนทางแยก**
มีทั้งโอกาสที่สดใสจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทญี่ปุ่น สัญญาณทางเทคนิคที่ดูดี และแนวโน้มที่นักวิเคราะห์ระดับโลกมองว่ายังไปได้ไกล แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะทิศทางของ BOJ ความผันผวนของค่าเงินเยน และความเสี่ยงจากสถานการณ์โลก
สำหรับใครที่กำลังสนใจ “หุ้นนิเคอิ” หรือตลาดหุ้นญี่ปุ่น ผมขอแนะนำว่า:
1. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว การลงทุนในตลาดต่างประเทศเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการกระจายความเสี่ยงโดยรวมในพอร์ตการลงทุนของคุณ
2. **ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน:** เหมือนเวลาเราจะไปเที่ยวต่างประเทศ ก็ต้องวางแผนอย่างดี การลงทุนก็เช่นกันครับ ควรศึกษาข้อมูลบริษัท นโยบายเศรษฐกิจ และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ให้ละเอียด
3. **ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด:** โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับนโยบายการเงินของ BOJ ตัวเลขเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และสถานการณ์การเมืองโลก เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาด
4. **พิจารณาระยะเวลาการลงทุน:** หากเป็นการลงทุนระยะยาว ตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต แต่หากเป็นการเก็งกำไรระยะสั้น ต้องระวังความผันผวนให้มาก
⚠️ หากใครมีสภาพคล่องทางการเงินไม่สูงมากนัก หรือยังเป็นมือใหม่ในตลาดต่างประเทศ ผมแนะนำว่าควรประเมินความเสี่ยงและศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจลงเงินก้อนโต การลงทุนคือการเดินทางระยะยาว ที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความอดทนนะครับ ขอให้ทุกการลงทุนของคุณประสบความสำเร็จครับ!