เพื่อนๆ นักลงทุนและว่าที่นักลงทุนทุกท่านครับ!
ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดข่าวเศรษฐกิจช่องไหน หรือคุยกับเพื่อนที่เล่นหุ้น ก็มักจะได้ยินคำว่า “ดัชนี” กันบ่อยใช่ไหมครับ? บางคนก็บอกว่า “ดัชนีขึ้น” บางคนก็บอกว่า “ดัชนีลง” จนอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้เจ้า ดัชนี คือ อะไรกันแน่? มันมีอิทธิพลต่อชีวิตเราขนาดไหน แล้วเราจะใช้มันให้เป็นประโยชน์กับการลงทุนของเราได้อย่างไรบ้าง?
วันนี้ ผมในฐานะคอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ “การเงินเรื่องสนุก” จะมาไขข้อข้องใจเรื่องนี้แบบไม่ให้งง ไม่ให้ปวดหัว และรับรองว่าอ่านจบแล้วจะร้องอ๋อ! เหมือนมีไฟสว่างวาบในสมองเลยครับ
ดัชนี คือ อะไรกันแน่? ไม่ใช่แค่นิ้วชี้ หรือบัญชีท้ายเล่มนะ!
เอาจริง ๆ คำว่า “ดัชนี” เนี่ย มันมีความหมายได้หลายอย่างเลยนะครับ ถ้าไปเปิดพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน หรือแม้แต่ลองค้นหาจาก sanook.com ก็จะเจอว่า “ดัชนี” อาจจะหมายถึง “นิ้วชี้” ก็ได้ หรือจะเป็น “ตัวเลขที่เขียนไว้บนมุมขวาของจำนวนเลขเพื่อแสดงการยกกำลัง” ก็ได้ หรือแม้กระทั่ง “บัญชีคำที่เรียงตามลำดับอักษรอยู่ท้ายเล่มหนังสือเพื่อให้ผู้อ่านค้นเรื่องที่ต้องการได้ง่าย” ก็ใช่ครับ

แต่! ในบริบทของการเงินและการลงทุนที่เรากำลังจะคุยกันวันนี้ ดัชนี คือ “ตัวเลขสำคัญที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนภาพรวมของสิ่งที่เราสนใจ” ครับ เปรียบง่ายๆ เหมือนเป็น “มาตรวัด” หรือ “เทอร์โมมิเตอร์” ที่บอกอุณหภูมิของบางสิ่งบางอย่างนั่นแหละครับ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ นะครับ เวลาเราไปซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วเจอว่าราคาสินค้าหลายๆ อย่างขึ้นพรวดพราด นักข่าวก็จะรายงานว่า “ดัชนีค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น” นั่นก็เป็นดัชนีชนิดหนึ่งที่สะท้อนว่าการใช้ชีวิตของเรามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นนั่นเองครับ
ทีนี้ พอมาอยู่ในโลกการเงินและตลาดหุ้น ดัชนี คือ ตัวเลขมหัศจรรย์ที่ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แทนที่เราจะต้องไปนั่งดูราคาหุ้นเป็นร้อยๆ พันๆ ตัว ดัชนีจะทำหน้าที่เป็นตัวแทน สรุปการเคลื่อนไหวเหล่านั้นมาให้เราในตัวเลขเดียว ทำให้เราสามารถใช้มันเป็น “เกณฑ์มาตรฐาน” เพื่อวัดผลตอบแทนของการลงทุน หรือใช้ประกอบการตัดสินใจได้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีหุ้น หรือดัชนีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ
ล้วงลึก: ดัชนีหุ้น ตัวชี้วัดสำคัญของตลาดไทยและตลาดโลก
เมื่อพูดถึง ดัชนี คือ สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “ดัชนีหุ้น” ครับ ดัชนีหุ้นก็คือตัวเลขที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นโดยรวมในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั่นเองครับ คุณนิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ก็ได้เคยอธิบายไว้ว่า ดัชนีหุ้นนี้มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวชี้วัดภาพรวมของตลาดหุ้น ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนของตัวเองกับตลาดได้ว่า “พอร์ตเราวิ่งทันตลาดไหมนะ?”
แล้วดัชนีหุ้นของบ้านเรามีอะไรบ้าง? ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้สร้างดัชนีขึ้นมาหลากหลายประเภท เพื่อสะท้อนหุ้นกลุ่มต่างๆ ให้เราได้เลือกใช้ตามความเหมาะสมครับ
* ดัชนี SET (SET Index): นี่คือหัวใจหลักของตลาดหุ้นไทยครับ เป็นดัชนีที่คำนวณจากราคาหุ้นสามัญทั้งหมดที่จดทะเบียนและมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นตัวแทนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยเลยก็ว่าได้ ถ้าดัชนี SET ขึ้นแปลว่าหุ้นโดยรวมราคาดีขึ้น ถ้าลงก็แปลว่าราคาหุ้นโดยรวมแย่ลงครับ
* ดัชนี SET50 (SET50 Index): ดัชนีนี้จะสะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้น 50 ตัวแรกที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูงสุด และสภาพคล่องในการซื้อขายดีที่สุดในตลาด ถือเป็นหุ้น “ตัวใหญ่” ที่มีอิทธิพลต่อตลาดมากครับ
* ดัชนี SET100 (SET100 Index): คล้ายๆ กับ SET50 แต่ขยายเพิ่มเป็นหุ้น 100 ตัวแรกที่มีมูลค่าตลาดสูงและสภาพคล่องดี ถือเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ถึงกลางครับ
* ดัชนี SETHD (SETHD Index): ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า HD ย่อมาจาก High Dividend เป็นดัชนีที่เลือกหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีสม่ำเสมอและมีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง เหมาะสำหรับสาย VI (Value Investor) ที่ชอบหุ้นปันผลครับ
* ดัชนี sSET (sSET Index): “s” มาจาก Small-Cap หรือหุ้นขนาดเล็กครับ ดัชนีนี้จะสะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดเล็กถึงกลางที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่ไม่รวมอยู่ใน SET100
* ดัชนี mai (mai Index): นี่คือดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ซึ่งเป็นตลาดสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ดัชนีนี้จะสะท้อนภาพรวมของหุ้นที่ซื้อขายในตลาด MAI โดยเฉพาะครับ

แล้วเค้าคำนวณดัชนีหุ้นกันยังไง? เรื่องง่ายๆ ที่ซับซ้อนน้อยกว่าที่คิด!
ฟังดูเหมือนจะยากใช่ไหมครับ แต่จริงๆ แล้ว การคำนวณดัชนีหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดครับ โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้วิธีที่เรียกว่า “ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด” หรือ Market Cap Weighting ครับ
หลักการง่ายๆ คือ:
ดัชนี SET = (มูลค่าตลาดรวมของหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน / มูลค่าตลาดรวมของหุ้นทั้งหมดในวันฐาน) x ค่าฐานของดัชนี
พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เขาจะคำนวณจาก “มูลค่าตลาดรวม” ของหุ้นทุกตัว (เอาราคาหุ้นคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่าย) ในวันปัจจุบัน แล้วนำไปเทียบกับ “มูลค่าตลาดรวม” ของวันแรกที่เริ่มคำนวณ (ซึ่งเป็นวันฐานที่มีค่าดัชนีเริ่มต้นกำหนดไว้) แค่นี้ก็ได้ค่า ดัชนี คือ ตัวเลขที่เราเห็นกันบนหน้าจอแล้วครับ วิธีนี้ทำให้หุ้นที่มีมูลค่าตลาดใหญ่กว่า (เช่น หุ้นใหญ่ๆ อย่าง ปตท. หรือ เอไอเอส) มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่าหุ้นตัวเล็กๆ นั่นเองครับ
ไม่ได้มีแค่หุ้นไทยนะ! ส่องดัชนีหุ้นต่างประเทศที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
นอกจากดัชนีหุ้นไทยแล้ว ในโลกการลงทุนเรายังมีดัชนีหุ้นสำคัญๆ ของต่างประเทศอีกมากมายที่ได้รับความนิยมและเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลกครับ เพราะดัชนีเหล่านี้ไม่ได้บอกแค่เรื่องหุ้นอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนถึงสุขภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ด้วยครับ
ลองมาดูดัชนีหุ้นต่างประเทศยอดฮิตกันครับ:
* ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA): นี่คือดัชนีหุ้นที่เก่าแก่และโด่งดังที่สุดของสหรัฐอเมริกาครับ ประกอบด้วยหุ้น 30 ตัวที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่และมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจอเมริกันอย่างมาก แม้จะคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยราคาหุ้น (Price Weighted) ไม่ได้ถ่วงด้วยมูลค่าตลาดเหมือน SET Index แต่ก็ยังเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่คนทั่วโลกใช้มองทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครับ (อ้างอิงจาก DepositPhotos, ATFX)
* ดัชนี S&P 500 (Standard & Poor’s 500): ดัชนีนี้ก็เป็นของสหรัฐฯ เหมือนกันครับ แต่ประกอบด้วยหุ้น 500 ตัวจากบริษัทชั้นนำที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่าดัชนีดาวโจนส์ ทำให้ดัชนี S&P 500 ถูกมองว่าเป็นตัวแทนภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ครอบคลุมและน่าเชื่อถือกว่า (อ้างอิงจาก DepositPhotos, ATFX)
* ดัชนีแนสแด็ก (NASDAQ Composite): ดัชนีนี้เป็นของตลาดหุ้นแนสแด็กในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งรวมหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก อย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Google เป็นต้น ถ้าคุณสนใจหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ดัชนีแนสแด็กก็คือพระเอกของคุณครับ (อ้างอิงจาก DepositPhotos, ATFX)
* ดัชนีนิกเคอิ 225 (Nikkei 225): ดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นญี่ปุ่นครับ ประกอบด้วยหุ้น 225 ตัวจากบริษัทชั้นนำของแดนอาทิตย์อุทัย เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่คนทั่วโลกใช้จับตา (อ้างอิงจาก DepositPhotos, ATFX)
* ดัชนีฟุตซี่ 100 (FTSE 100): ดัชนีนี้เป็นของตลาดหุ้นลอนดอนในสหราชอาณาจักรครับ ประกอบด้วยหุ้น 100 ตัวจากบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในอังกฤษ เป็นตัวแทนเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรนั่นเอง (อ้างอิงจาก DepositPhotos, ATFX)
ไม่ได้แค่ดู แต่เทรดได้ด้วย! เปิดโลกการเทรดดัชนี
บางคนอาจจะคิดว่า ดัชนี คือ แค่ตัวเลขไว้ดูเฉยๆ แต่จริงๆ แล้วเราสามารถ “เทรดดัชนี” ได้ด้วยนะครับ! การเทรดดัชนีไม่ได้หมายถึงการซื้อตัวเลขดัชนีโดยตรงนะครับ แต่เป็นการซื้อขาย “เครื่องมือทางการเงิน” ที่อ้างอิงกับดัชนีเหล่านั้นต่างหากครับ (อ้างอิงจาก ATFX, FXTM)

ทำไมนักลงทุนถึงอยากเทรดดัชนี? ข้อดีคือเราสามารถ “ลงทุนในตลาดโดยรวม” ได้เลยครับ แทนที่จะต้องมานั่งเลือกหุ้นรายตัวว่าตัวไหนดี ตัวไหนร่วง การเทรดดัชนีทำให้เรากระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆ ตัวที่ประกอบกันเป็นดัชนีนั้นๆ ได้ในคราวเดียว เหมือนซื้อตะกร้าผลไม้รวม แทนที่จะเลือกซื้อผลไม้ทีละลูกครับ
เครื่องมือยอดนิยมสำหรับการเทรดดัชนีก็มีหลากหลายครับ เช่น:
* กองทุน ETF (Exchange Traded Fund): เป็นกองทุนรวมที่ซื้อขายได้เหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เลยครับ กองทุน ETF ประเภท “ดัชนี” ก็คือจะไปลงทุนในหุ้นที่ประกอบกันเป็นดัชนีนั้นๆ เช่น ถ้าเป็นกองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนี SET50 ก็จะไปลงทุนในหุ้น 50 ตัวที่อยู่ใน SET50 ตามสัดส่วนครับ
* กองทุนรวมดัชนี: คล้ายกับ ETF แต่ไม่ได้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตรง ต้องซื้อผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ครับ
* สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures): เป็นสัญญาที่ตกลงจะซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิง (ในที่นี้คือดัชนี) ในอนาคตที่ราคาและเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
* สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Difference – CFD): เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมในการเทรดดัชนีหุ้นต่างประเทศครับ หลักการคือเราไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง (ดัชนี) จริงๆ แต่เป็นการทำสัญญาแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคาที่เปลี่ยนไป เหมือนกับเราคาดการณ์ว่าดัชนีจะขึ้นหรือลง ถ้าคาดถูกก็ได้กำไร ถ้าคาดผิดก็ขาดทุนครับ ข้อดีคือมักจะมีอัตราทด (Leverage) สูง ทำให้ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงขึ้นมากเช่นกัน
ข้อดี ข้อเสีย การเทรดดัชนี ต้องรู้ไว้ก่อนเริ่ม!
ทุกการลงทุนย่อมมีสองด้านเสมอครับ การเทรดดัชนีก็เช่นกัน (อ้างอิงจาก ATFX)
ข้อดีของการเทรดดัชนี:
1. กระจายความเสี่ยง: นี่คือข้อดีที่สำคัญที่สุดครับ เหมือนการ “ไม่ใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว” ถ้าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในดัชนีมีปัญหา ดัชนีโดยรวมก็อาจจะไม่ได้ร่วงหนักมากเท่ากับการที่เราถือหุ้นตัวนั้นแค่ตัวเดียว
2. ความคุ้มค่าของราคา: โดยทั่วไปแล้ว กองทุนดัชนีหรือ ETF มักจะมีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนรวมที่ผู้จัดการกองทุนต้อง Active ในการเลือกหุ้นเอง เพราะใช้กลยุทธ์ตามดัชนีเป็นหลัก
3. ความเรียบง่าย: สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การลงทุนในดัชนีง่ายกว่าการวิเคราะห์และเลือกหุ้นเป็นรายตัวเยอะครับ แค่ดูทิศทางตลาดโดยรวมก็พอ
4. ความโปร่งใส: เราจะรู้เสมอว่าดัชนีนั้นประกอบด้วยหุ้นอะไรบ้าง และคำนวณอย่างไร ข้อมูลเปิดเผยและเข้าใจง่าย
ข้อเสียของการเทรดดัชนี:
1. ความเสี่ยงด้านตลาด: แม้จะกระจายความเสี่ยง แต่ถ้าตลาดโดยรวมซบเซา หรือเศรษฐกิจแย่ลง ดัชนีก็ย่อมร่วงลงตามไปด้วยครับ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากภาวะตลาดขาลงได้
2. การควบคุมที่จำกัด: เราไม่สามารถเลือกได้ว่าอยากจะลงทุนในหุ้นตัวไหนเป็นพิเศษในดัชนีนั้นๆ ครับ ต้องตามสัดส่วนที่ดัชนีกำหนดไว้ทั้งหมด
3. ประสิทธิภาพต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการจัดการเชิงรุก (ในบางกรณี): แม้ดัชนีจะให้ผลตอบแทนตามตลาด แต่ถ้าผู้จัดการกองทุนที่ “Active” เก่งจริงๆ และเลือกหุ้นได้ถูกตัว เขาก็อาจจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีครับ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า และไม่มีอะไรการันตีว่าเขาจะเก่งกว่าตลาดได้เสมอไป
4. ขาดความยืดหยุ่น: ไม่สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในแต่ละบริษัทได้ตามใจชอบ เพราะทุกอย่างถูกกำหนดโดยองค์ประกอบของดัชนี
ดัชนี คือ กระจกสะท้อนเศรษฐกิจ: ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อการขึ้นลงของมัน?
ที่เราเห็น ดัชนี คือ ตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ ทุกวันนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ นะครับ แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้องและเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญเลยครับ
* แนวโน้มตลาด: แน่นอนว่าอารมณ์ของตลาด หรือ Sentiment โดยรวม มีผลอย่างมากครับ ถ้าข่าวดีออกมา คนก็แห่กันซื้อ ดัชนีก็ขึ้น แต่ถ้ามีข่าวร้าย หรือความกังวล ดัชนีก็ร่วงได้ง่ายๆ เลยครับ
* นโยบายการเงิน: เรื่องนี้สำคัญมากครับ นโยบายการเงินของธนาคารกลาง เช่น การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย มีผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท และสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้นและดัชนีครับ ลองนึกภาพดูนะครับ ถ้าดอกเบี้ยต่ำ บริษัทกู้เงินง่ายขึ้น ลงทุนเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็อยากลงทุนในหุ้นมากขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการฝากเงินไม่จูงใจ ดัชนีก็มีแนวโน้มจะดีขึ้นครับ
* ตัวเลขเศรษฐกิจ: สุขภาพเศรษฐกิจโดยรวมสะท้อนผ่านตัวเลขสำคัญๆ เช่น อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน หรือตัวเลขการส่งออกนำเข้าต่างๆ หากตัวเลขเหล่านี้ออกมาดี แปลว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ก็จะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัท และทำให้ดัชนีหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นครับ
สรุปและคำแนะนำจากคอลัมนิสต์:
เป็นยังไงบ้างครับ กับเรื่องของ ดัชนี คือ อะไร และความสำคัญของมัน ผมหวังว่าคงจะคลายข้อสงสัยและช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจโลกของการลงทุนได้ลึกซึ้งขึ้นนะครับ
ดัชนีหุ้นเปรียบเสมือนเข็มทิศและเทอร์โมมิเตอร์ที่คอยบอกทิศทางและสุขภาพของตลาดครับ การทำความเข้าใจว่า ดัชนี คือ อะไร และทำงานอย่างไร จะช่วยให้เราสามารถติดตามแนวโน้มของตลาด ประเมินผลตอบแทน และที่สำคัญคือ ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นครับ
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่กล้าเสี่ยงกับการเลือกหุ้นรายตัว การลงทุนในกองทุนรวมดัชนี หรือ ETF ที่อ้างอิงดัชนีต่างๆ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ ครับ เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีในระดับหนึ่ง และมีค่าใช้จ่ายไม่สูง แต่ก็ต้องทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียให้ถ่องแท้ก่อนตัดสินใจนะครับ
ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในดัชนี หรือสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ก็ต้องตระหนักไว้เสมอว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน” ครับ หากใครที่กำลังคิดจะเริ่มเทรดดัชนี โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น มอเนต้า มาร์เก็ตส์ (Moneta Markets) หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่มีบริการสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ที่มีอัตราทด (Leverage) สูงๆ ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษนะครับ เพราะโอกาสทำกำไรสูง ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงในการขาดทุนที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน โดยเฉพาะถ้าเงินทุนหมุนเวียนของเรามีไม่มากนัก ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ที่เรายอมรับความเสี่ยงได้ครับ!
ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างชาญฉลาดและมีความสุขกับการเดินทางในโลกการเงินนะครับ!