
เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งชื่อ ‘พี่หมู’ แกชอบลงทุนหุ้นเป็นชีวิตจิตใจ วันก่อนพี่แกโทรมาถามเสียงสั่นๆ ว่า “เฮ้ย! ดัชนีฮั่งเส็งมันเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมกราฟดัชนีฮั่งเส็งถึงได้ดิ่งลงเหวขนาดนี้ พอร์ตพี่แดงเถือกไปหมดแล้ว!” ผมก็เลยตอบกลับไปแบบติดตลกพร้อมปลอบใจแกเล็กน้อยว่า “ใจเย็นๆ พี่หมูครับ ตลาดหุ้นก็เหมือนใจคนนั่นแหละ มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา” แต่พอเห็นสีหน้ากังวลของแก ผมก็รู้เลยว่าเรื่องนี้มันไม่ได้แค่ขึ้นๆ ลงๆ ธรรมดาๆ มันมีอะไรเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่านั้นเยอะครับ
คุณผู้อ่านครับ เวลาเราพูดถึงตลาดหุ้นฮ่องกง เชื่อว่าหลายคนต้องนึกถึงชื่อ ‘ดัชนีฮั่งเส็ง’ (Hang Seng Index) ขึ้นมาเป็นชื่อแรกๆ แน่นอน เพราะมันคือตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจฮ่องกง และยังเป็นดัชนีที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามอง เหมือนเวลาเราจะดูว่าวันนี้ฝนจะตกไหม เราก็ต้องเปิดแอปฯ ดูพยากรณ์อากาศ ดัชนีฮั่งเส็งก็ทำหน้าที่คล้ายๆ กันนั่นแหละครับ มันบอกเราว่าตอนนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงกำลังรู้สึกอย่างไร แต่คำถามคือ ทำไมอยู่ดีๆ กราฟดัชนีฮั่งเส็งถึงได้ดูเหมือนรถไฟเหาะตีลังกาที่พุ่งลงมาอย่างรวดเร็วในช่วงหลังๆ นี้? อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังความผันผวนนี้กันแน่? วันนี้ผมจะชวนคุณมาหาคำตอบกันครับ
ถ้าจะให้พูดถึงภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่าเหมือนอยู่ในช่วงอากาศแปรปรวนครับ ไม่ใช่แค่พี่หมูที่เห็นพอร์ตตัวเองแดงเถือก ตลาดหุ้นเอเชียและยุโรปต่างก็ได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน เหมือนเวลาเราโดนน้ำร้อนลวกนิ้ว เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พลอยรู้สึกร้อนตามไปด้วย สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ตลาดเหล่านี้กระสับกระส่ายก็มาจากความกังวลเกี่ยวกับ ‘อัตราดอกเบี้ย’ ที่อาจจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ครับ ลองนึกภาพดูนะครับ ปกติเวลาเรากู้เงินมาลงทุนทำธุรกิจ ถ้าดอกเบี้ยต่ำ เราก็รู้สึกว่าต้นทุนถูกลง กล้ากู้ กล้าลงทุน แต่ถ้าดอกเบี้ยขึ้นพรวดพราด การกู้เงินมาลงทุนก็กลายเป็นภาระหนักทันที และเมื่อภาพรวมของบริษัทดูไม่สดใส นักลงทุนก็พากันเทขายหุ้นออกมา ทำให้ตลาดโดยรวมปรับตัวลงตามไปด้วย
แล้วใครล่ะคือตัวการที่ทำให้ดอกเบี้ยมันขึ้นพรวดพราดแบบนี้? คำตอบก็คือ ‘ธนาคารกลางสหรัฐฯ’ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ‘เฟด’ (Fed) นั่นแหละครับ การที่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ก็เหมือนกับการที่ผู้ปกครองกำลังจะดึงปลั๊กออกจากเครื่องเล่นวิดีโอเกมที่เด็กๆ กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน เพราะเฟดต้องการจะสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเรื่องนี้ก็สร้างความกังวลไปทั่วโลก เพราะเมื่อประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายการเงินแบบนี้ ก็จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เหมือนคลื่นใต้น้ำที่มองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ ดึงให้ตลาดหุ้นหลายแห่ง รวมไปถึงกราฟดัชนีฮั่งเส็งด้วย ต้องเผชิญกับแรงเทขายอย่างรุนแรง

ข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆ ที่ออกมาก็ยิ่งตอกย้ำความกังวลนี้ครับ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ หรือตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดในสหรัฐฯ ก็ล้วนเป็นสัญญาณที่ทำให้ตลาดตีความไปในทางเดียวกันว่า “สงสัยเฟดคงไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ยง่ายๆ แน่” เมื่อนักลงทุนคาดการณ์เช่นนี้ ก็ย่อมส่งผลให้พวกเขาระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น และเลือกที่จะถือเงินสดไว้ก่อน ทำให้ตลาดโดยรวมซบเซาลงไปอีก ผมจำได้ว่านักวิเคราะห์จากสำนักข่าวบลูมเบิร์กเคยวิเคราะห์ไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่า แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นนี้จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดไปอีกสักพักใหญ่ๆ จนกว่าเงินเฟ้อจะเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจนครับ เพราะฉะนั้นใครที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน อย่าเพิ่งรีบใจร้อนนะครับ การรอดูท่าทีอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
คราวนี้เรามาเจาะลึกถึงพระเอกของเราในวันนี้บ้าง นั่นก็คือ ‘ดัชนีฮั่งเส็ง’ (Hang Seng Index) ครับ ดัชนีนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขลอยๆ นะครับ แต่มันคือดัชนีตลาดหุ้นหลักของฮ่องกง ที่ประกอบไปด้วยหุ้นของบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่หลายสิบแห่ง เหมือนรวมเอาบรรดาซูเปอร์สตาร์ของวงการธุรกิจฮ่องกงมาไว้ด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงของกราฟดัชนีฮั่งเส็งจึงสะท้อนถึงภาพรวมของเศรษฐกิจฮ่องกงได้เป็นอย่างดีตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หากย้อนดูประวัติราคา คุณจะเห็นเลยว่าดัชนีนี้มีความผันผวนสูงมาก ขึ้นชื่อเรื่องความหวือหวา เหมือนกราฟหัวใจที่เต้นขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีฮั่งเส็งโดยตรงก็คือ สภาวะเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก และที่สำคัญที่สุดคือ ‘เศรษฐกิจจีน’ นั่นเองครับ
ทำไมเศรษฐกิจจีนถึงสำคัญกับตลาดหุ้นฮ่องกงและกราฟดัชนีฮั่งเส็งมากขนาดนั้น? ก็เพราะว่าฮ่องกงเป็นเสมือนประตูเชื่อมระหว่างโลกตะวันตกกับจีนแผ่นดินใหญ่ครับ บริษัทจีนหลายแห่งที่ต้องการระดมทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ก็มักจะเลือกมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจจีนมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่สั่นคลอน หรือนโยบายการควบคุมต่างๆ ของรัฐบาลจีน ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อบริษัทเหล่านั้นโดยตรง และเมื่อบริษัทเหล่านั้นได้รับผลกระทบ กราฟดัชนีฮั่งเส็งก็ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วยนั่นเองครับ เหมือนเวลาเราจาม เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ก็พลอยจะติดหวัดไปด้วยได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นฮ่องกงยังมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจค่อนข้างมากครับ เหมือนเรือลำเล็กๆ ที่ต้องเผชิญกับคลื่นลมแรงในมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบภายในประเทศ หรือแม้แต่สถานการณ์โควิด-19 ที่เคยระบาดอย่างหนัก ก็ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้กราฟดัชนีฮั่งเส็งต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญจากรอยเตอร์เคยวิเคราะห์ไว้ว่า ความไม่แน่นอนเหล่านี้สร้างความท้าทายอย่างมากต่อนักลงทุนที่หวังจะหากำไรจากตลาดฮ่องกง ดังนั้น หากคุณสนใจจะลงทุนในหุ้นฮ่องกง หรือติดตามกราฟดัชนีฮั่งเส็งอยู่ ก็ต้องทำการบ้านอย่างหนักและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดนะครับ
แต่ท่ามกลางความท้าทายนี้ ฮ่องกงก็กำลังพยายามหาทางสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับตัวเองด้วยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ (cryptocurrency) ที่ฮ่องกงกำลังพิจารณาออกใบอนุญาตให้ตลาดซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีสามารถให้บริการแก่นักลงทุนรายย่อยได้แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรในโลกการเงินที่หลายประเทศยังคงตั้งกำแพงกั้นคริปโตฯ อย่างแน่นหนา การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของฮ่องกงที่จะก้าวเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งใหม่ในยุคดิจิทัล ซึ่งอาจจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ เข้ามาในอนาคต แต่ก็ต้องย้ำว่านี่เป็นเรื่องของการพิจารณาออกใบอนุญาตสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในหุ้นโดยตรงครับ แต่ในระยะยาวแล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้อาจมีผลต่อภาพรวมของตลาดการเงินในฮ่องกงได้
คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วตัวเลขหุ้นแต่ละตัวมันเป็นยังไงบ้างล่ะ? ในช่วงที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าหุ้นหลายตัวในดัชนีฮั่งเส็งมีการเปลี่ยนแปลงราคาที่สำคัญครับ บางตัวเปิดตลาดมาก็เจอแรงเทขายหนัก ราคาหลุดแนวรับสำคัญ บางตัวก็พยายามฟื้นตัวแต่ก็ติดต้านทานไว้ หรือบางตัวก็ยังคงทรงตัวได้ดีกว่าตัวอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บ่งบอกถึงภาวะตลาดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และนักลงทุนแต่ละรายก็มีมุมมองต่ออนาคตของบริษัทเหล่านั้นที่แตกต่างกันออกไป ข้อมูลเหล่านี้แม้จะดูเป็นรายละเอียดปลีกย่อย แต่ก็สะท้อนภาพรวมของแรงซื้อแรงขายในตลาดได้เป็นอย่างดีครับ

หากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 หรือวิกฤตต้มยำกุ้งในบ้านเราปี 2540 เราจะเห็นว่าตลาดหุ้นก็เคยเผชิญกับความผันผวนรุนแรงไม่ต่างจากตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้จากอดีตและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตของตลาดได้อย่างแม่นยำ 100% ครับ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่เข้าใจความเสี่ยง บริหารเงินลงทุนอย่างมีวินัย และไม่ตื่นตระหนกไปตามกระแสข่าวสารที่ไหลบ่าเข้ามาในแต่ละวัน เหมือนคำที่ว่า “เวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือ 20 ปีก่อน และเวลาที่ดีที่สุดรองลงมาคือวันนี้” การลงทุนก็เช่นกันครับ มันคือการเดินทางระยะยาว
สำหรับใครที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุนหรือติดตามข้อมูลตลาด ผมอยากแนะนำว่าแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลกอย่าง Moneta Markets ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นักลงทุนใช้ติดตามกราฟดัชนีฮั่งเส็งและสินทรัพย์อื่นๆ ครับ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะนำเสนอเครื่องมือวิเคราะห์ที่หลากหลายและมีสภาพคล่องในการซื้อขายที่ดี ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกแพลตฟอร์มก็ต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือและฟังก์ชันการใช้งานที่ตรงกับความต้องการของเราด้วยนะครับ
ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากจะฝากข้อคิดไว้ให้กับคุณผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะพี่หมูเพื่อนผมด้วยนะครับ การลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะการติดตามกราฟดัชนีฮั่งเส็งในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะฟันธงได้ว่าจะขึ้นหรือลง ⚠️ หากคุณเป็นนักลงทุนที่มีเงินทุนหมุนเวียนไม่สูงมาก และเพิ่งเริ่มต้น อย่าเพิ่งรีบกระโดดเข้าสู่ตลาดด้วยความโลภโดยเด็ดขาดครับ สิ่งสำคัญคือการประเมินความเสี่ยงที่รับได้ของตัวเองก่อน แล้วค่อยๆ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ
คำแนะนำของผมก็คือ:
1. **กระจายความเสี่ยง**: อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียวครับ ลองแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรือกองทุนรวม เพื่อลดผลกระทบหากสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมีปัญหา
2. **ศึกษาข้อมูลให้ลึกซึ้ง**: อย่าเพิ่งเชื่อข่าวลือครับ ควรหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น บทวิเคราะห์จากนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) หรือรายงานจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ทำความเข้าใจว่าอะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อกราฟดัชนีฮั่งเส็ง และอะไรคือความเสี่ยงที่คุณต้องเจอ
3. **ลงทุนระยะยาว**: พยายามมองข้ามความผันผวนในระยะสั้นไปบ้างครับ ตลาดหุ้นที่ดีมักจะฟื้นตัวได้ในระยะยาวหากปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง
4. **ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ**: หากไม่แน่ใจจริงๆ การพูดคุยกับที่ปรึกษาทางการเงิน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและลดความเสี่ยงลงได้ครับ
จำไว้เสมอว่า การลงทุนคือการเดินทางระยะยาว ที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความอดทน และวินัยครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุน และดูแลพอร์ตของตัวเองให้ดีนะครับ!