
ช่วงนี้ตลาดหุ้นดูเหมือนจะอยู่ในโหมด “สับสน” สุดๆ เลยนะครับ วันก่อนเพิ่งเห็นหุ้นเทคฯ พุ่งกระฉูดทำนิวไฮ อีกวันก็ได้ยินเสียงซุบซิบว่าเศรษฐกิจจะถดถอย แถมยังมีเรื่องภาษีศุลกากรที่คาดเดาไม่ได้มากวนใจอีก เล่นเอาหลายคนที่ไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ตรงไหนดี มีอาการมึนงงไปตามๆ กัน
เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อ “เป้” เพิ่งบ่นให้ฟังว่าเนี่ย เห็นข่าวแล้วยิ่งไม่กล้าลงทุนเลย กลัวเข้าผิดจังหวะ ซื้อตอนตลาดจะลง หรือขายหมูตอนตลาดจะขึ้น ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เป้คนเดียวแน่ๆ ครับ เพราะในตลาดที่ผันผวนแบบนี้ การพยายาม “จับจังหวะตลาด” หรือ Market Timing มันยากมากๆ ครับ แม้ราคาที่เราเข้าลงทุนครั้งแรกจะมีผลต่อผลตอบแทนในระยะยาวจริง แต่เชื่อเถอะครับว่าการจะเดาได้เป๊ะๆ ว่าจุดไหนคือจุดต่ำสุด หรือจุดไหนคือจุดสูงสุด มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเองก็เหงื่อตกเหมือนกัน เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับ “โชค” มากกว่า “ฝีมือ” ซะอีก
แล้วในเมื่อการเดาทางมันยากขนาดนี้ เราจะทำยังไงดีล่ะ? หนึ่งในทางเลือกที่หลายคนพูดถึงกันมาตลอด โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ก็คือการลงทุนแบบ “ตามตลาด” นี่แหละครับ ซึ่งเครื่องมือยอดฮิตก็คงหนีไม่พ้น index fund s&p 500 หรือกองทุนดัชนีที่อ้างอิงดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) นั่นเองครับ
ถามว่า index fund s&p 500 มันคืออะไร? อธิบายง่ายๆ มันก็เหมือนเราไปซื้อ “ตะกร้า” หุ้นรวมๆ ของบริษัทใหญ่ๆ ที่สุด 500 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกาครับ ดัชนี S&P 500 เนี่ยถือเป็นตัวแทนที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ค่อนข้างดีเลย บริษัทที่เราคุ้นชื่อกันดีส่วนใหญ่ก็อยู่ในนี้แหละครับ เช่น Microsoft (ไมโครซอฟท์), Apple (แอปเปิล), Amazon (อเมซอน), Alphabet (อัลฟาเบท) ที่เป็นบริษัทแม่ของ Google หรือ Meta Platforms (เมตา แพลตฟอร์มส) เจ้าของ Facebook และ Instagram เป็นต้น

ข้อดีของการลงทุนใน กองทุนดัชนี S&P 500 ก็คือ เราได้กระจายความเสี่ยงไปในหุ้นตั้ง 500 ตัว ไม่ต้องมานั่งเลือกเองทีละตัว แล้วที่สำคัญมากๆ คือ “ค่าธรรมเนียมการจัดการ” มักจะต่ำมากครับ อย่างกองทุนยอดนิยมตัวหนึ่งคือ Vanguard S&P 500 ETF (วีโอโอ หรือ VOO) ของ Vanguard (แวนการ์ด) นี่ ค่าธรรมเนียมอยู่ที่แค่ประมาณ 0.03% ต่อปีเองครับ (ข้อมูล ณ วันที่ 26 เม.ย. 2567) ต่ำกว่ากองทุนที่ผู้จัดการกองทุนต้องมานั่งเลือกหุ้นเองเยอะเลยครับ
แต่ก็มีบางคนบอกว่า หุ้น 500 ตัวมันก็เยอะไป อยากเน้นเฉพาะตัวที่ “เติบโต” แรงๆ ได้ไหม? ก็มีอีกทางเลือกที่น่าสนใจครับ คือ Vanguard S&P 500 Growth ETF (วีโอโอจี หรือ VOOG) ซึ่งกองทุนนี้ก็ยังอยู่ในจักรวาลของ S&P 500 index fund เหมือนกันนะครับ แต่เขาจะคัดเฉพาะหุ้นใน S&P 500 ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงมารวมไว้ในตะกร้าครับ ลองเทียบผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ปี 2010 (เมื่อพิจารณาผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยต่อปี หรือ CAGR) พบว่า VOOG ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15.4% ต่อปี ขณะที่ S&P 500 ทั่วไป (VOO อ้างอิง) อยู่ที่ 12.8% ต่อปีครับ
ที่ VOOG ให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่กองทุนนี้มีน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology), บริการสื่อสาร (Communication Services) และสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) สูงกว่า S&P 500 ทั่วไปมากครับ แล้วหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ อย่างพวก Big Tech ที่เราพูดถึงไปเมื่อกี้ ก็เพิ่งรายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะเลยครับ โดยเฉพาะธุรกิจบริการคลาวด์ (Cloud Services) และที่มาแรงสุดๆ คือเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกมองว่าเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญในอนาคต นี่ก็ยิ่งตอกย้ำว่าทำไมหุ้นกลุ่ม “เติบโต” ถึงยังได้รับความสนใจอยู่

ปัจจัยระดับมหภาคอย่างเรื่อง “ภาษีศุลกากร” (Tariffs) ก็ยังคงสร้างความกังวลในตลาดครับ โดยเฉพาะการประกาศแบบไม่ทันตั้งตัวที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน และอาจนำไปสู่ภาวะถดถอยได้ มีข่าวดีบ้างตรงที่มีการระงับภาษีตอบโต้กับหลายประเทศแล้ว แต่กับจีนก็ยังคงอยู่ ซึ่งเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อบางภาคส่วนของเศรษฐกิจ แต่บางอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจำกัด หรือมีปัจจัยบวกอื่นๆ หนุนอยู่ ก็ยังคงดูดีได้ เช่น ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors), บริการดิจิทัล (Digital Services) หรือบริการคลาวด์ (Cloud Services) อย่างที่กล่าวไปครับ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้แหละที่ส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในดัชนี S&P 500 และสะท้อนมาถึงผลการดำเนินงานของกองทุน ETF อย่าง VOO และ VOOG โดยตรง
กลับมาที่คำถามเรื่อง “จับจังหวะตลาด” ในเมื่อมันยากจริงๆ อย่างที่เราคุยกัน แล้วมีกลยุทธ์อะไรที่พอจะช่วยได้บ้างในตลาดที่ผันผวนแบบนี้? แทนที่จะพยายามหาจุดต่ำสุดเพื่อเข้าซื้อทั้งหมดในครั้งเดียว ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากว่าเราอาจจะพลาด หรือดันไปซื้อที่จุดสูงสุดแทน ก็มีกลยุทธ์ง่ายๆ ที่เรียกว่า “ทยอยซื้อเป็นสามส่วน” (Buying in Thirds) ครับ
กลยุทธ์นี้ทำง่ายมากครับ สมมติว่าคุณมีเงินก้อนหนึ่งที่ต้องการจะลงทุนใน กองทุนดัชนี S&P 500 อย่าง VOO หรือจะแบ่งไป VOOG ด้วยก็ตาม แทนที่จะซื้อทั้งหมดในวันนี้ คุณก็แบ่งเงินก้อนนั้นออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน แล้วกำหนดเวลาในการเข้าซื้อแต่ละส่วน อาจจะห่างกัน 1 เดือน, 3 เดือน, หรือ 6 เดือน ก็แล้วแต่ความสะดวกและความเชื่อของคุณครับ เช่น มีเงิน 3 แสนบาท ก็แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 1 แสนบาท แล้วซื้อครั้งแรก 1 แสนวันนี้ ครั้งที่สองอีก 1 เดือนข้างหน้า และครั้งที่สามอีก 2 เดือนข้างหน้า เป็นต้น
ข้อดีของกลยุทธ์ “ทยอยซื้อเป็นสามส่วน” นี้คืออะไร? คือมันช่วยลดความเสี่ยงจากการที่เราบังเอิญนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในจังหวะที่ตลาดอยู่บนยอดเขาพอดีครับ ถ้าตลาดเกิดปรับตัวลงหลังจากที่เราซื้อส่วนแรกไป เราก็ยังมีเงินอีกสองส่วนรอซื้อในราคาที่ถูกลงได้ ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนเฉลี่ยของเราต่ำลงครับ และถ้าตลาดพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็ได้เข้าซื้อไปแล้วส่วนหนึ่ง ก็ยังพอได้ร่วมขบวนไปบ้างครับ แม้ผลตอบแทนอาจจะไม่เท่ากับการซื้อทั้งหมดในครั้งแรกแล้วตลาดขึ้นแรงๆ แต่ก็แลกมาด้วยความสบายใจและลดความเสี่ยงลงไปได้เยอะในตลาดที่ไม่แน่นอนครับ
อย่างไรก็ตาม แม้ index fund s&p 500 จะดูเหมือนเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยเพราะเป็นการลงทุนแบบกระจายตัว และอิงกับตลาดหุ้นใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” นะครับ อย่างกองทุน VOO เองก็ถูกจัดอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ 4 จาก 5 ซึ่งหมายความว่ามีความผันผวนค่อนข้างสูงในระยะสั้น การลงทุนใน กองทุนดัชนี S&P 500 หรือกองทุนหุ้นโดยทั่วไป ควรเป็นการลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาวครับ หวังผลตอบแทนในช่วง 5 ปี 10 ปี หรือมากกว่านั้น เพราะในระยะสั้น ตลาดหุ้นอาจจะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนรถไฟเหาะได้ตลอดเวลาครับ
ผลการดำเนินงานในอดีตที่เราเห็นตัวเลขสวยๆ ของ VOO หรือ VOOG เป็นเพียงแค่ข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น ไม่ได้รับประกันว่าในอนาคตผลตอบแทนจะเป็นแบบนั้นเสมอไปครับ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนใน index fund s&p 500 หรือกองทุนอื่นๆ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลกองทุนให้เข้าใจอย่างละเอียด พิจารณาเป้าหมายการลงทุนของตัวเอง รับความเสี่ยงได้แค่ไหน และมีระยะเวลาในการลงทุนนานเท่าใดครับ
สรุปแล้ว ในช่วงที่ตลาดหุ้นยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การพยายามจับจังหวะตลาดเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ ครับ การลงทุนใน กองทุนดัชนี S&P 500 อย่าง VOO ที่เน้นตามตลาดภาพรวม หรือ VOOG ที่เน้นหุ้นเติบโต เป็นอีกทางเลือกในการเข้าถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนกลยุทธ์ “ทยอยซื้อเป็นสามส่วน” ก็เป็นแนวทางที่เรียบง่ายแต่ช่วยบริหารความเสี่ยงได้ดีในยามที่มองไม่เห็นอนาคตชัดๆ แต่อย่าลืมนะครับว่าการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยงเสมอ
⚠️ หากคุณมีเงินที่ต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ หรือสภาพคล่องไม่สูงมากนัก ควรประเมินให้ดีก่อนตัดสินใจนำเงินมาลงทุน โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ทยอยลงทุนในระยะห่างๆ เพราะเงินส่วนที่ยังไม่ได้ลงทุน อาจจะต้องทนเห็นตลาดวิ่งขึ้นไปก่อนครับ ควรเลือกลงทุนด้วยเงินเย็นที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในเร็วๆ นี้ครับ
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน