ช่วงนี้มีคนรอบตัวถามเข้ามาเยอะเลยค่ะว่า ถ้าอยากเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่มันดูเติบโตดีๆ เนี่ย มีตัวเลือกอะไรที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนบ้างไหม? โดยเฉพาะตลาดหุ้นยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ที่ใครๆ ก็พูดถึง แล้วยิ่งเห็นตัวเลขการเติบโตของบริษัทเทคฯ หรือบริษัทใหญ่ๆ ดังๆ ทั่วโลกก็อยู่ในนั้นทั้งนั้น มันเลยชวนให้เราอยากเอาเงินไปต่อยอดบ้างใช่ไหมคะ
คำตอบยอดฮิตติดลมบนที่ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เองก็แนะนำ คือ การลงทุนใน กองทุนดัชนี s&p 500 ค่ะ ฟังดูอาจจะเหมือนศัพท์การเงินยากๆ แต่จริงๆ แล้วมันคืออะไรที่เข้าถึงง่ายกว่าที่คิดเยอะเลยค่ะ
ลองนึกภาพตามนะคะ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ นี่ใหญ่มาก มีบริษัทจดทะเบียนเป็นพันๆ แห่ง การที่เราจะไปเลือกรายตัวว่าบริษัทไหนดี บริษัทไหนไม่ดีนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ ต้องทำการบ้านหนักมาก แต่ดัชนี S&P 500 เนี่ย เขาทำหน้าที่เหมือนเป็น “ตะกร้า” ที่รวมเอาหุ้นของ 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาเอาไว้ค่ะ เหมือนเราซื้อของยกแพ็ค ก็ได้ของดีๆ ในนั้นมาครบเลย
แล้วถามว่าทำไมต้องลงทุนใน กองทุนดัชนี s&p 500 ล่ะ? หนึ่งเลยคือเรื่องความหลากหลายค่ะ แค่ลงทุนในกองทุนนี้กองเดียว เราก็ได้กระจายความเสี่ยงไปใน 500 บริษัทชั้นนำของอเมริกาเลยค่ะ ไม่ต้องมานั่งเลือกเอง แถมประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา (ซึ่งไม่ได้การันตีอนาคตนะคะ) เจ้าดัชนีตัวนี้ให้ผลตอบแทนทบต้นระยะยาวเฉลี่ยแล้วดีมากๆ เลยค่ะ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนอย่างบทวิเคราะห์จาก The Standard Wealth ก็บอกว่าอยู่ที่ประมาณ ๘%-๑๐% ต่อปีเลยนะ ซึ่งถ้าเทียบกับการฝากเงินไว้เฉยๆ หรือลงทุนในอย่างอื่นบางประเภท ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาวค่ะ
แล้วแบบนี้เราจะลงทุนใน กองทุนดัชนี s&p 500 ได้ยังไงจากประเทศไทยล่ะ? ข่าวดีคือปัจจุบัน บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ในบ้านเรามีผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงง่ายมากๆ ค่ะ ที่ฮิตๆ ก็จะเป็นกองทุนรวมที่เรียกว่า “กองทุนฟีดเดอร์” (Feeder Fund) ซึ่งกองทุนเหล่านี้จะเอาเงินของเราไปลงทุนต่อในกองทุนหลักที่ต่างประเทศ เช่น กองทุนอีทีเอฟ (ETF) ชื่อดังอย่าง SPDR เอสแอนด์พี ๕๐๐ อีทีเอฟ ทรัสต์ (SPDR S&P 500 ETF Trust) ซึ่งกองทุนหลักนี้แหละค่ะ ที่ลงทุนตามดัชนี S&P 500 เป๊ะๆ
มีหลาย บลจ. ที่เสนอทางเลือกนี้ค่ะ อย่าง บลจ.กสิกรไทย เขาก็มีกองทุนดัชนีหลากหลายประเภทมากๆ ครอบคลุมหลายตลาดชั้นนำทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ (รวมถึงแนสแด็ก), ยุโรป, ญี่ปุ่น, จีน, อินเดีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยเองก็มีดัชนีเฉพาะกลุ่มให้เลือกด้วยค่ะ เรียกว่ามีตะกร้าให้เลือกช้อปตามความสนใจเลยนะ จุดเด่นของกองทุนดัชนีส่วนใหญ่ก็คือค่าธรรมเนียมมักจะต่ำกว่ากองทุนรวมแบบที่ผู้จัดการกองทุนต้องมานั่งเลือกหุ้นเองค่ะ
ทีนี้มาดูตัวอย่าง กองทุนดัชนี s&p 500 ที่มีในบ้านเราให้เห็นภาพชัดๆ นะคะ อย่าง กองทุนเปิดแอสเซทพลัสเอสแอนด์พี ๕๐๐ ชนิดสะสมมูลค่า ของ บลจ.แอสเซท พลัส อันนี้ก็เป็นกองทุนฟีดเดอร์ที่ลงทุนใน SPDR เอสแอนด์พี ๕๐๐ อีทีเอฟ ค่ะ นโยบายคือเขาจะลงทุนในกองทุนหลักไม่ต่ำกว่า ๘๐% เลยนะ และที่น่าสนใจคือเขามีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเกือบทั้งหมดค่ะ แปลว่าความผันผวนจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะกระทบเราน้อยหน่อย กองทุนนี้ความเสี่ยงระดับ ๖ การลงทุนเริ่มต้นแค่ ๑ บาทเองค่ะ ณ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๘ มูลค่าต่อหน่วยอยู่ที่ ๕๖.๘๕ บาท มีทรัพย์สินภายใต้การจัดการรวม ๔๓๔.๙๕ ล้านบาท ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ก็ดูดีเลยค่ะ อย่าง ๓ ปีต่อปีอยู่ที่ ๘.๑๓%, ๕ ปีต่อปี ๑๑.๓๓%, ๑๐ ปีต่อปี ๙.๒๓%
อีกกองทุนที่คนรู้จักเยอะก็คือ กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นยูเอสพาสซีฟ ของ บลจ.บัวหลวง อันนี้ก็เป็นกองทุนฟีดเดอร์ที่ลงทุนใน SPDR เอสแอนด์พี ๕๐๐ อีทีเอฟ ทรัสต์ เหมือนกันค่ะ แต่ที่แตกต่างชัดๆ เลยคือกองทุนนี้ “ไม่มี” การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และไม่มีนโยบายจ่ายปันผลนะคะ การลงทุนแบบนี้ก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากค่าเงินบาทค่ะ ถ้าบาทอ่อน เราก็ได้กำไรเพิ่ม แต่ถ้าบาทแข็ง เราก็ได้กำไรจากหุ้นน้อยลง หรืออาจจะขาดทุนจากค่าเงินได้ ซื้อขายได้สะดวกผ่านช่องทางของธนาคารกรุงเทพค่ะ
จะเห็นว่าแค่ลงทุนใน กองทุนดัชนี s&p 500 ก็มีตัวเลือกที่นโยบายต่างกันแล้วใช่ไหมคะ อย่างเรื่องการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินนี่สำคัญเลย ต้องดูว่าเรายอมรับความเสี่ยงตรงนี้ได้แค่ไหน หรืออยากให้ป้องกันไปเลย
นอกจากเรื่องกองทุนที่เราต้องเลือกแล้ว การลงทุนในตลาดต่างประเทศก็มีปัจจัยภายนอกที่เราต้องรู้นะคะ เช่นเรื่อง “วันหยุด” ค่ะ เหมือนร้านค้า ถ้าถึงวันหยุดก็ปิดทำการ ตลาดหุ้นก็เหมือนกันค่ะ มีวันหยุดของตัวเอง อย่างในสหรัฐอเมริกาก็มีวันหยุดสำคัญที่ตลาดหุ้นปิดทำการ เช่น วัน Martin L. King Day, วัน Presidents’ Day, วัน Memorial Day, วัน Juneteenth, วัน Independence Day, วัน Labor Day, วัน Thanksgiving, วัน Christmas Day ซึ่งวันหยุดเหล่านี้จะกระทบกับการซื้อขายกองทุนที่ไปลงทุนในหุ้นอเมริกาโดยตรงค่ะ เพราะกองทุนหลักที่ต่างประเทศปิดทำการ การส่งคำสั่งซื้อขายของเราอาจจะไปมีผลในวันทำการถัดไปแทนค่ะ ปฏิทินทางการเงินปี ๒๕๖๗ และ ๒๕๖๘ ที่มีวันหยุดทั้งของไทยและสหรัฐอเมริกา นี่เป็นข้อมูลสำคัญเลยค่ะ ช่วยให้นักลงทุนวางแผนได้ ไม่ใช่ว่าอยากซื้อขายวันนี้ แต่ตลาดปิดทำการนะ ต้องเผื่อเวลาด้วยค่ะ ช่วงวันหยุดยาวๆ ตลาดก็อาจจะสภาพคล่องลดลงหน่อย
ส่วนเรื่องแนวโน้มตลาด อย่างที่นักวิเคราะห์บางท่าน อย่าง Elliott Wave Forecast บอกว่าตลาดแนสแด็ก (ซึ่งก็มีหุ้นใหญ่ๆ ทับซ้อนกับ S&P 500 หลายตัว) ตอนนี้ดูมีสัญญาณการปรับตัวขึ้นในรูปแบบที่เรียกว่าคลื่นส่ง โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ประมาณ ๒๐,๗๒๕ จุด การวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบนี้ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่ช่วยให้เห็นทิศทางคร่าวๆ ค่ะ แต่ก็เป็นแค่การคาดการณ์นะ ตลาดหุ้นขึ้นลงได้ตลอดเวลาค่ะ
สรุปแล้ว การลงทุนใน กองทุนดัชนี s&p 500 เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ สำหรับคนที่อยากลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยความง่าย เข้าถึงได้ผ่านกองทุนรวมในไทย มีค่าธรรมเนียมที่เข้าถึงง่าย และกระจายความเสี่ยงใน ๕๐๐ บริษัทใหญ่ๆ ค่ะ
แต่!! สำคัญมากๆ นะคะ ไม่ใช่ว่าเห็นเขาว่าดีแล้วจะกระโดดเข้าใส่ทันทีค่ะ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ กองทุนดัชนี s&p 500 ก็มีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นค่ะ วันไหนตลาดอเมริกาลง กองทุนของเราก็มีโอกาสมูลค่าลดลงตามไปด้วย และอย่างที่บอก กองทุนที่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนก็มีเรื่องความเสี่ยงจากค่าเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยค่ะ
⚠️ คำแนะนำจากใจ หากสนใจ กองทุนดัชนี s&p 500 ควรศึกษาข้อมูลกองทุนที่เราจะเลือกลงทุนให้ละเอียดค่ะ ดูนโยบายการลงทุน ค่าธรรมเนียม ผลการดำเนินงานย้อนหลัง (แต่ย้ำอีกที ว่าผลงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลงานในอนาคตนะคะ) และที่สำคัญคือ “นโยบายการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน” ว่ากองทุนนั้นๆ มีหรือไม่มี ป้องกันมากน้อยแค่ไหนค่ะ และต้องเข้าใจด้วยว่าการลงทุนนี้เหมาะกับเงินเย็น หรือเงินที่เรายังไม่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้นถึงระยะยาวนะคะ ถ้าต้องใช้เงินก้อนนี้ในอีก ๑-๒ ปีข้างหน้า การลงทุนในหุ้นอาจจะไม่เหมาะค่ะ
สุดท้ายแล้ว การลงทุนคือการเดินทางค่ะ เริ่มต้นจากสิ่งที่เราเข้าใจ ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน วางแผนให้ดี และลงทุนอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว ก็เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งแล้วค่ะ ขอให้สนุกกับการลงทุนนะคะ!
