S&P 500 ย้อนหลังบอกอะไร? จับตา September Effect และ Fed ก่อนลงทุน!

ลองนึกภาพว่ากำลังนั่งจิบกาแฟ แล้วเพื่อนข้างๆ ถามขึ้นมาว่า “ช่วงนี้ตลาดหุ้นอเมริกาเป็นไงบ้าง ลงทุนดีไหม?” คำถามยอดฮิตติดตลาดแบบนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยิน หรือไม่ก็กำลังคิดอยู่ในใจใช่ไหมครับ? เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้มีผลแค่กับคนอเมริกัน แต่ส่งอิทธิพลไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่บ้านเรา

พอพูดถึงหุ้นอเมริกา ตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิดก็คือ **ดัชนี S&P 500** (เอสแอนด์พี 500) ครับ ดัชนีนี้เปรียบเสมือนตัวแทนสุขภาพของบริษัทใหญ่ๆ 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่าตลาดรวมกันมหาศาล การขึ้นลงของดัชนีนี้จึงสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี ถ้าดัชนีขึ้น ส่วนใหญ่ก็ตีความว่าเป็นสัญญาณบวก เศรษฐกิจไปได้สวย แต่ถ้าดัชนีดิ่ง ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

เราสามารถลองดู **s&p 500 ย้อนหลัง** ได้ตามแหล่งข้อมูลทางการเงินต่างๆ ซึ่งจะเห็นประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมาก ดัชนีนี้ผ่านวิกฤตการณ์มานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ไปจนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขย่าโลกการเงิน ถ้าดู **s&p 500 ย้อนหลัง** ไปไกลๆ ดัชนีนี้เคยมีจุดต่ำสุดแค่หลักหน่วยดอลลาร์ในปี ค.ศ. 1877 (พ.ศ. 2420) และเติบโตมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 5,569.07 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่เขียนบทความ) การเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นๆ เช่น ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือในเดือนที่ผ่านมา ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนใช้ประเมินสถานการณ์เช่นกัน อย่างสัปดาห์ล่าสุดนี้ดูเหมือนจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 6.78% แต่ในรอบเดือนที่ผ่านมากลับติดลบไป -2.08% ส่วนรอบปีที่ผ่านมาก็ยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกที่น่าพอใจประมาณ 9.12% ตัวเลขเหล่านี้ทำให้นักลงทุนเห็นภาพคร่าวๆ ว่าช่วงที่ผ่านมาตลาดเป็นอย่างไรครับ

นักลงทุนทั่วไปไม่สามารถซื้อดัชนี S&P 500 ได้โดยตรงนะครับ แต่สามารถลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่อ้างอิงกับดัชนีนี้ เช่น กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือ กองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ที่ลงทุนตามสัดส่วนของบริษัทในดัชนี หรือจะเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่อยู่ในดัชนีทั้ง 500 ตัวนี้ก็ได้ (ถ้ามีเงินเยอะมากพอ!) หุ้นที่อยู่ในดัชนีนี้ก็มีหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เทคโนโลยี พลังงาน การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ละตัวก็มีผลงานแตกต่างกันไป บางตัวราคาสูงลิ่ว บางตัวให้ผลตอบแทนหวือหวา อย่างเช่นหุ้น PLTR ที่ราคาพุ่งกว่า 420% ในรอบ 1 ปี หรือหุ้น MRNA ที่ปรับตัวลงกว่า 74% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จะอยู่ในดัชนีเดียวกัน แต่ผลตอบแทนของแต่ละบริษัทก็ไม่เหมือนกันเลย

ทีนี้มาถึงเรื่องที่หลายคนอาจจะเคยได้ยิน หรือเป็นกังวล นั่นคือ **”September Effect”** หรือปรากฏการณ์เดือนกันยายนครับ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องลึกลับในตลาดหุ้นใช่ไหมครับ? จริงๆ แล้วมันคือแนวโน้มทางสถิติที่บอกว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ตลาดหุ้น โดยเฉพาะ S&P 500 มักจะปรับตัวลดลงในเดือนกันยายนมากกว่าเดือนอื่นๆ ของปี เรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นนะครับ จากสถิติ **s&p 500 ย้อนหลัง** ยาวนานถึงเกือบ 100 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 ถึง 2023 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว เดือนกันยายนให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในบรรดา 12 เดือน เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ -1.17% ดัชนีอื่นๆ ทั่วโลกอย่าง MSCI All-Country World Index (MSCI ACWI) ก็มีแนวโน้มคล้ายคลึงกัน คือมักจะอ่อนตัวลงในเดือนกันยายน

แล้วทำไมต้องเป็นเดือนกันยายนล่ะ? ไม่มีใครฟันธงได้ 100% ครับ แต่ก็มีนักวิเคราะห์หลายคนพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นแค่การคาดการณ์หรือการตีความจากพฤติกรรมในอดีต เช่น

* **ปัจจัยทางจิตวิทยาและพฤติกรรมนักลงทุน:** ช่วงปลายปีงบประมาณของหลายบริษัทหรือกองทุน อาจมีการประเมินผลงาน ปรับพอร์ต หรือขายทำกำไรที่สะสมมาทั้งปี ทำให้เกิดแรงขายในตลาด
* **การปรับตัวหลังช่วงฤดูร้อน:** ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะคึกคักในช่วงฤดูร้อน (ประมาณ กรกฎาคม-สิงหาคม) พอเข้าสู่เดือนกันยายน อาจมีการปรับฐานหลังจากการเติบโต ทำให้ราคาอ่อนตัวลง
* **การปิดงบประมาณของสถาบันการเงินบางแห่ง:** บางสถาบันการเงินอาจมีรอบการบัญชีที่สิ้นสุดในเดือนกันยายน ซึ่งอาจมีการปรับพอร์ตหรือขายสินทรัพย์เพื่อจัดระเบียบงบดุล
* **การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ:** เดือนกันยายนมักมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ หลายตัว เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน หรือตัวเลขการจ้างงาน ซึ่งหากตัวเลขออกมาไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดหวัง ก็อาจกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายได้
* **ฤดูกาลซื้อขายที่เงียบลง:** บางคนมองว่าเดือนกันยายนเป็นช่วงที่นักลงทุนเริ่มกลับจากพักร้อน ทำให้ปริมาณการซื้อขายอาจยังไม่เต็มที่เหมือนช่วงอื่นๆ ความผันผวนจึงอาจสูงขึ้นและการปรับฐานก็อาจเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า

ทั้งหมดนี้เป็นเพียง “สาเหตุที่เป็นไปได้” ที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์ September Effect เท่านั้นนะครับ ไม่ใช่กฎเหล็กที่ต้องเกิดขึ้นทุกปี เพราะตลาดหุ้นเป็นเรื่องซับซ้อน มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา

นอกจากปรากฏการณ์ September Effect แล้ว ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ก็มีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่นักลงทุนต้องจับตาครับ ที่โดดเด่นที่สุดคือ **การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC Meeting)** ที่มักจะมีขึ้นกลางเดือน การประชุมครั้งสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ประธาน Fed คุณ Jerome Powell เคยส่งสัญญาณในเชิงที่ตลาดตีความว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต การประชุมครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้จึงเป็นที่จับตาว่า Fed จะส่งสัญญาณอย่างไรเพิ่มเติมหรือไม่

นอกจากนี้ ยังมี **ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ** ที่จะทยอยประกาศออกมาในเดือนกันยายน ซึ่งจะบอกสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี ตัวเลขเหล่านี้รวมถึง:

* **ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI)** ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ซึ่งใช้ประเมินภาวะการขยายตัวหรือหดตัวของภาคธุรกิจ
* **อัตราการว่างงาน** ซึ่งสะท้อนความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ถ้าว่างงานสูงขึ้นก็แปลว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลง
* **อัตราค่าจ้างรายชั่วโมง** ถ้าค่าจ้างเพิ่มขึ้นเร็ว ก็อาจบ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่ก็สะท้อนว่าเศรษฐกิจแข็งแรง คนมีกำลังซื้อ
* **ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)** หรือตัวเลขเงินเฟ้อ ตัวเลขนี้สำคัญมากต่อการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของ Fed หากเงินเฟ้อลดลง ก็อาจช่วยลดความกังวลว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยสูงไว้นาน ซึ่งเป็นข่าวดีต่อตลาดหุ้น

ตัวเลขเหล่านี้จะออกมาตลอดทั้งเดือน และแต่ละตัวล้วนมีศักยภาพที่จะทำให้ตลาดหุ้น S&P 500 ผันผวนได้ทั้งสิ้นครับ

ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมครับ? แต่ก่อนที่เราจะกระโจนเข้าสู่ตลาด สิ่งสำคัญที่สุดที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาดคือ **”ความเสี่ยง”** ครับ การลงทุนในตราสารทางการเงินทุกชนิด รวมถึงหุ้น หรือแม้แต่สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างเงินดิจิทัล ล้วนมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ ตลาดอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกคนครับ ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้สามารถแปรปรวนได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกหลายอย่าง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ กฎหมาย และการเมือง

ก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น S&P 500 หรือสินทรัพย์อื่นๆ ก็ตาม คุณต้องตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ดีเสียก่อน พิจารณาอย่างรอบคอบว่าวัตถุประสงค์ในการลงทุนของคุณคืออะไร คุณมีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญที่สุดคือ คุณยอมรับความเสี่ยงในการสูญเสียเงินลงทุนได้มากน้อยแค่ไหนครับ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ

ข้อมูลและราคาต่างๆ ที่เราเห็นบนเว็บไซต์ทางการเงินทั่วไป อาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์เป๊ะๆ หรืออาจไม่ได้เที่ยงตรงเสมอไป บางครั้งราคาที่แสดงเป็นเพียงราคาชี้นำจากผู้ดูแลสภาพคล่อง ซึ่งไม่เหมาะกับการนำไปใช้ซื้อขายโดยตรง ผู้ให้ข้อมูลและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายหรือการพึ่งพาข้อมูลเหล่านั้นนะครับ

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้เครื่องมือบางอย่าง เช่น **มาร์จิน (Margin)** หรือ **เลเวอเรจ (Leverage)** สูงๆ อาจเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรได้ก็จริง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างมหาศาลเช่นกันครับ **ขอเตือนว่า อย่าเอาเงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเงินที่ถ้าเสียไปแล้วจะเดือดร้อน มาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเด็ดขาด!** ข้อมูล ความคิดเห็น หรือการวิเคราะห์ต่างๆ ที่คุณเห็นตามสื่อทั่วไป รวมถึงบทความนี้ เป็นเพียงความเห็นตลาดโดยทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุนส่วนบุคคลนะครับ และโปรดจำไว้เสมอว่า การดู **s&p 500 ย้อนหลัง** หรือดูผลงานในอดีตนั้น ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ในอนาคตได้ 100% ครับ ตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปัจจัยใหม่ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ

โดยสรุปแล้ว ดัชนี S&P 500 เป็นตัวชี้วัดสำคัญของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจสหรัฐฯ การดู **s&p 500 ย้อนหลัง** ช่วยให้เราเห็นภาพรวมและแนวโน้มในอดีตได้ ส่วนปรากฏการณ์ September Effect เป็นเพียงสถิติที่ชวนให้ระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงเดือนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่รับประกันว่าจะเกิดขึ้นทุกปี การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และที่สำคัญที่สุดคือ การประเมินความเสี่ยงของตัวเองให้รอบคอบ

⚠️ **คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน** หากไม่มั่นใจในความพร้อมทางการเงินหรือระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ควรขอคำปรึกษาจากผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับอนุญาตก่อนเสมอครับ

Leave a Reply