โอเคครับ ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ผมจัดให้ตามข้อมูลที่ให้มาเลยครับ นี่คือฉบับร่างสำหรับเผยแพร่ครับ
***
พักนี้ไม่ว่าจะไถฟีดโซเชียล อ่านข่าว หรือคุยกับเพื่อนนักลงทุน ก็มักจะได้ยินคำว่า **”S&P 500″** ลอยมาเข้าหูบ่อยๆ บางคนก็บอกว่านี่แหละโอกาสทองของนักลงทุน บางคนก็ยังงงๆ ว่ามันคืออะไร แล้วถ้าอยากจะ **s&p 500 ซื้อยังไง** วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบหมดเปลือก ฉบับที่แม้แต่มือใหม่ก็เข้าใจได้สบายๆ ครับ
ลองนึกภาพง่ายๆ นะครับว่า ถ้าจะเลือกลงทุนใน “บริษัทใหญ่ๆ เจ๋งๆ” ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คุณจะเลือกบริษัทไหนดี? Apple? Microsoft? Amazon? โอ้โห รายชื่อบริษัทชั้นนำในอเมริกามันยาวเป็นหางว่าวเลยใช่มั้ยครับ การจะไปเลือกรายตัวให้ครบทุกอุตสาหกรรมนี่แทบเป็นไปไม่ได้เลย

นี่แหละครับคือที่มาของเจ้า **ดัชนี S&P 500** ที่จัดทำโดย Standard & Poor’s เค้าก็เหมือนมือโปรที่ช่วยเราคัด “สุดยอดบริษัทมหาชนขนาดใหญ่” ของอเมริกามาให้แล้ว 500 บริษัท เปรียบเสมือนการรวมดาวของตลาดหุ้นอเมริกาเลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ๆ อย่าง New York Stock Exchange (NYSE) และ Nasdaq พูดง่ายๆ คือ ถ้าเราลงทุนใน S&P 500 ก็เหมือนได้เป็นเจ้าของชิ้นเล็กๆ ใน 500 บริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอเมริกา แถมยังสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ค่อนข้างดีมากๆ ครับ เพราะดัชนีนี้ครอบคลุมมูลค่าตลาดหุ้นอเมริกาไปถึงเกือบ 80% เลยทีเดียว
แล้วบริษัทไหนถึงจะได้รับเลือกเข้า S&P 500 ล่ะ? ไม่ใช่ว่าบริษัทใหญ่ๆ จะเข้าได้หมดนะครับ เค้ามีเกณฑ์คัดเลือกที่ค่อนข้างเข้มงวดเลย เช่น ต้องมีมูลค่าตลาดใหญ่พอสมควร (ข้อมูลบอกว่าต้องมีมูลค่าขั้นต่ำราวๆ 6.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไปเลยนะ) ต้องมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง (มีปริมาณซื้อขายขั้นต่ำต่อเดือน) และที่สำคัญคือต้องมีกำไรด้วยนะ ไม่ใช่ขาดทุนบักโกรกแล้วจะเข้ามาได้ง่ายๆ แถมรายชื่อ 500 บริษัทนี้ก็ไม่ได้คงที่ตลอดไปนะครับ มีการปรับปรุงทุกๆ ไตรมาสเพื่อให้แน่ใจว่ายังคงเป็นตัวแทนของตลาดอยู่เสมอ
อีกจุดที่น่าสนใจคือวิธีการคำนวณดัชนี S&P 500 เค้าใช้แบบ “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด” (Market Cap Weighted) หมายความว่าบริษัทไหนที่มีมูลค่าตลาดใหญ่มากๆ ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีสูงกว่าบริษัทที่มีมูลค่าน้อยกว่า บริษัทระดับท็อปๆ ที่เราคุ้นชื่ออย่าง Apple, Microsoft, Amazon เลยมีน้ำหนักค่อนข้างมากในดัชนีนี้ครับ การที่เราเห็นดัชนี S&P 500 ขยับขึ้นหรือลงเนี่ย ส่วนใหญ่ก็ได้รับอิทธิพลจากบริษัทใหญ่ๆ ไม่กี่แห่งนี้แหละครับ
มาถึงคำถามสำคัญที่หลายคนสงสัย **s&p 500 ซื้อยังไง** หรือที่จริงแล้วเราไม่ได้ซื้อ “ตัวดัชนี” โดยตรงนะครับ แต่เราจะลงทุนในสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับดัชนีนี้แทน ซึ่งสำหรับนักลงทุนไทยมีอยู่หลายช่องทางให้เลือกเลยครับ
ช่องทางแรกๆ ที่นึกถึงก็คือ การลงทุนผ่าน **กองทุนรวม (Mutual Fund)** ที่บริหารจัดการโดย บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ในประเทศไทย ซึ่งกองทุนเหล่านี้เค้าจะนำเงินของเราไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ ที่อ้างอิงกับ S&P 500 อีกที ข้อดีคือมีผู้เชี่ยวชาญบริหารจัดการให้เรา ไม่ต้องปวดหัวเลือกหุ้นเอง หรือไปนั่งดูราคาแบบเรียลไทม์ตลอดเวลา ข้อเสียอาจจะมีเรื่องค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต้องจ่ายให้กับ บลจ. ครับ
อีกช่องทางที่นิยมทั่วโลกคือการลงทุนใน **กองทุนอีทีเอฟ (ETF) หรือ Exchange Traded Fund** กองทุนประเภทนี้ก็เหมือนกองทุนรวม แต่สามารถซื้อขายได้ง่ายเหมือนหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์เลยครับ มีสภาพคล่องสูงกว่ากองทุนรวมแบบปกติ ข้อดีคือค่าธรรมเนียมมักจะถูกกว่ากองทุนรวม และซื้อขายสะดวก แต่สำหรับนักลงทุนไทยที่ลงทุนใน ETF ของสหรัฐฯ โดยตรง อาจจะต้องเจอความยุ่งยากนิดหน่อยเรื่องบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ และที่สำคัญคือเรื่อง **ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน** ครับ เพราะถ้าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่าการลงทุนของเราในรูปเงินบาทก็จะลดลงตามไปด้วย (สำหรับกองทุนที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน หรือ UNHEDGED) แต่ถ้าเงินบาทอ่อนค่า เราก็ได้ประโยชน์ตรงนี้ไปครับ

ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันสำหรับลงทุนที่ช่วยให้เราเข้าถึง S&P 500 ได้ง่ายขึ้นมากครับ อย่างเช่น แอป Dime! ที่เราสามารถเปิดบัญชีและลงทุนในกองทุนรวมที่ไปลงทุนต่อใน ETF อ้างอิง S&P 500 ได้เลย หรือบางแพลตฟอร์มอย่าง Webull ก็เปิดโอกาสให้เราซื้อขายหุ้นหรือ ETF ในตลาดสหรัฐฯ ได้โดยตรง ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปในเรื่องค่าธรรมเนียมและบริการ
ยกตัวอย่างกองทุนรวมที่น่าสนใจสำหรับคนไทยที่อ้างอิง S&P 500 ก็มีอย่าง กองทุน KKP US500-UH-E ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนใน iShares Core S&P 500 ETF ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่ลงทุนตาม S&P 500 จริงๆ กองทุนนี้มีจุดเด่นตรงที่ “ฟรีค่าธรรมเนียมการจัดการ” ตลอดอายุโครงการ ซึ่งช่วยประหยัดไปได้เยอะเลยครับ แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (UH = Unhedged) และมีเงื่อนไขการลงทุนขั้นต่ำ/สูงสุดต่อคนด้วย สามารถซื้อขายผ่านแอป Dime! ได้เลย สะดวกมากๆ
เมื่อพูดถึง S&P 500 หลายคนอาจจะสับสนกับดัชนีอื่นๆ ของอเมริกาอย่าง Nasdaq หรือ Dow Jones สองอันนี้ก็เป็นดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เหมือนกันครับ แต่มีวิธีเลือกและถ่วงน้ำหนักต่างกัน
* **Nasdaq** จะเน้นไปที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทที่กำลังเติบโตสูงๆ เป็นหลัก การขึ้นลงของ Nasdaq จะได้รับอิทธิพลจากหุ้นเทคฯ เยอะกว่า S&P 500 ชัดเจนเลยครับ
* **Dow Jones** เป็นดัชนีที่เก่าแก่ที่สุด มีหุ้นเพียงแค่ 30 บริษัทที่เป็นบริษัทใหญ่มากๆ และมีความมั่นคง วิธีคำนวณก็แตกต่างออกไปคือถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น (Price-weighted) ไม่ได้ถ่วงตามมูลค่าตลาด ทำให้หุ้นที่มีราคาสูงมากๆ จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่า
สรุปง่ายๆ คือ S&P 500 เป็นเหมือนภาพรวมที่กว้างและครอบคลุมกว่า Dow Jones และมีความหลากหลายทางอุตสาหกรรมมากกว่า Nasdaq ครับ
แล้วโอกาสและความน่าสนใจในการลงทุน S&P 500 ล่ะ? ทำไมใครๆ ถึงมอง?
1. **กระจายความเสี่ยงได้ดี:** การลงทุนใน 500 บริษัทช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัทใดบริษัทหนึ่งไปได้เยอะ เหมือนเราไม่ได้ฝากไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว แต่กระจายไป 500 ใบ
2. **ผลตอบแทนระยะยาวน่าสนใจ:** จากข้อมูลสถิติในอดีต S&P 500 มีประวัติให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวค่อนข้างดีเลยครับ (แม้ตัวเลขจะผันผวนตามช่วงเวลา แต่ค่าเฉลี่ยในหลายทศวรรษค่อนข้างเป็นบวก) ซึ่งก็สอดคล้องกับคำแนะนำของนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffett ที่เคยมองว่า S&P 500 เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว
3. **เติบโตไปพร้อมเศรษฐกิจสหรัฐฯ:** เมื่อเศรษฐกิจอเมริกาเติบโต บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตตามไปด้วย การลงทุนใน S&P 500 จึงเหมือนเราได้เกาะกระแสการเติบโตของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกโดยอัตโนมัติ
4. **มีการคัดเลือกและปรับปรุงโดยผู้เชี่ยวชาญ:** รายชื่อบริษัทมีการดูแลโดยมืออาชีพ ทำให้เรามั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่ากำลังลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพ

แต่เหรียญย่อมมีสองด้านครับ การลงทุนใน S&P 500 ก็มีความเสี่ยงที่เราต้องพิจารณาเช่นกัน
* **ความผันผวน:** แม้ระยะยาวจะดูดี แต่ระยะสั้น S&P 500 ก็มีความผันผวนสูงตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก การเมือง หรือข่าวสารต่างๆ ครับ บางช่วงอาจจะปรับตัวลงแรงได้เหมือนกัน
* **ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ:** ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย ดัชนี S&P 500 ก็ย่อมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและอาจใช้เวลาฟื้นตัวนาน (ลองดูเหตุการณ์อย่างวิกฤตปี 2543, 2550 หรือช่วงโควิดปี 2563 ก็ได้ครับ ดัชนีปรับลงเยอะพอสมควร)
* **ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน:** อย่างที่บอกไป ถ้าเราลงทุนในกองทุนหรือ ETF ที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบาท มูลค่าลงทุนของเราในสกุลเงินบาทก็จะขึ้นอยู่กับการแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ครับ
* **ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว:** แม้จะมีถึง 500 บริษัท แต่ด้วยการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่า บริษัทใหญ่ๆ เพียงไม่กี่แห่งมีอิทธิพลต่อดัชนีสูงมาก ถ้าบริษัทเหล่านี้มีปัญหา ก็ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของดัชนีอย่างมีนัยสำคัญได้ครับ
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังศึกษาและอยากลองลงทุนใน S&P 500 ผมมีคำแนะนำเบื้องต้นให้ครับ
1. **กำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน:** การลงทุนใน S&P 500 มักจะเหมาะกับการลงทุนระยะยาว เพื่อให้ดอกผลทบต้นทำงานเต็มที่ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรารับมือกับความผันผวนระยะสั้นได้ดีขึ้นครับ
2. **เลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ:** ไม่ว่าจะเป็น บลจ. หรือแพลตฟอร์มการลงทุน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตและมีความน่าเชื่อถือครับ ดูเรื่องค่าธรรมเนียมและบริการเสริมอื่นๆ ด้วย
3. **พิจารณาตัวเลือกกองทุน/ETF:** ลองเปรียบเทียบค่าธรรมเนียม นโยบายการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (ถ้ามี) และประวัติผลการดำเนินงาน (แต่ผลงานในอดีตไม่ได้รับประกันอนาคตนะครับ)
4. **พิจารณาลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging):** วิธีนี้คือการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กันอย่างสม่ำเสมอ (เช่น ทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท) ไม่ว่าจะตลาดขึ้นหรือลง ช่วยลดความกังวลเรื่องการจับจังหวะตลาด (Market Timing) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากๆ ครับ เมื่อตลาดลงก็ได้ของถูก เมื่อตลาดขึ้นก็ได้ของแพงปนๆ กันไป เฉลี่ยต้นทุนให้เรา
โดยสรุปแล้ว S&P 500 เป็นดัชนีที่น่าสนใจมากๆ สำหรับนักลงทุนที่อยากกระจายความเสี่ยงและเติบโตไปพร้อมกับบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ การจะ **s&p 500 ซื้อยังไง** ก็ทำได้ง่ายขึ้นมากในปัจจุบันผ่านกองทุนรวม กองทุน ETF หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
แต่จำไว้เสมอว่า **การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน** โดยเฉพาะเรื่องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับกองทุนที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงนะครับ ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ก่อนเริ่มต้นเดินทางในโลกการลงทุนนี้ครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนครับ!