
ใครไม่รู้จัก S&P บ้างครับ? แค่ได้ยินชื่อ กลิ่นหอมๆ ของขนมปัง เบเกอรี่ หรือภาพของเค้กแต่งหน้าสวยๆ ก็ลอยมาในหัวแล้วใช่ไหมครับ? หรือบางทีนึกถึงมื้ออร่อยๆ กับครอบครัวในร้านที่คุ้นเคย นี่คือแบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมานานมากๆ เกินกว่า 50 ปีแล้วด้วยซ้ำ!
แต่นอกจากภาพจำที่เป็นร้านอาหารและเบเกอรี่ที่เราเห็นอยู่ทั่วไป รู้ไหมครับว่าเบื้องหลังของ S&P มีอะไรมากกว่านั้นเยอะเลย ทั้งเรื่องราวการเติบโตจากร้านเล็กๆ การปรับตัวรับมือกับวิกฤต ไปจนถึงโครงสร้างธุรกิจและผู้คนที่ขับเคลื่อนอาณาจักรความอร่อยนี้ วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย เราจะมาเจาะลึกเรื่องราวของ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือที่เราเรียกกันว่า S&P นี่แหละครับ ว่าเบื้องหลังความอร่อยและคุ้นเคยนี้ มีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่บ้าง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ไปจนถึงใครคือ เจ้าของs&p ตัวจริงเสียงจริงที่ทำให้แบรนด์นี้ยืนหยัดมาได้ถึงทุกวันนี้
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2516 โน่นเลยครับ ถ้าใครเกิดทันหรือไม่ทัน ลองนึกภาพกรุงเทพฯ ในสมัยนั้นดูนะครับ การหาร้านอาหารดีๆ มีห้องแอร์เย็นๆ สะอาดๆ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยุคที่การรับประทานอาหารนอกบ้านยังไม่แพร่หลายเท่าวันนี้ ที่ซอยสุขุมวิท 23 หรือซอยประสานมิตรเดิม ครอบครัวไรวาและครอบครัวศิลาอ่อน ได้เปิดร้านเล็กๆ ชื่อ S&P Ice-Cream Corner ขึ้นมา ซึ่งนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ร้านเล็กๆ แห่งนี้ไม่ได้มีแค่ไอศกรีมนะครับ แต่ค่อยๆ พัฒนาขยายไลน์สินค้ามาสู่เบเกอรี่และอาหาร ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากๆ เพราะในยุคนั้น การได้เข้าไปนั่งรับประทานอาหารหรือซื้อขนมในร้านที่มีคุณภาพ มีความแปลกใหม่ สะอาดสะอ้าน และที่สำคัญคือ ‘มีแอร์’ ถือเป็นเรื่องพิเศษและเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว

ลองนึกภาพดูนะครับ ในยุคที่เค้กส่วนใหญ่เป็นเค้กปอนด์แบบเดิมๆ S&P กล้าที่จะสร้างสรรค์เค้กแต่งหน้าตามสั่ง หรือเค้กลายการ์ตูนต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดเบเกอรี่ไทยเลยทีเดียว นั่นแสดงให้เห็นถึงดีเอ็นเอของการ ‘คิดนอกกรอบ’ และ ‘พัฒนาไม่หยุดนิ่ง’ ที่ฝังอยู่ในแบรนด์มาตั้งแต่แรก จากร้านเล็กๆ ในซอยสุขุมวิท 23 ก็ค่อยๆ ขยายสาขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2532 กิจการก็เติบโตแข็งแกร่งมากพอที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทมหาชน โดยได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ นี้เอง ทำให้ S&P มีแหล่งเงินทุนที่ใหญ่ขึ้น มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งเป็นฐานสำคัญสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคตอันกว้างใหญ่ไพศาล
จากแบรนด์หลัก S&P ที่มีทั้งร้านอาหารและเบเกอรี่ บริษัทไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นครับ พวกเขาแตกไลน์ธุรกิจออกไปอีกมากมายภายใต้ชื่อและคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกันไป เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและมีความต้องการเฉพาะทางมากขึ้น เช่น ร้านกาแฟ Bluecup ที่เราเห็นตามสาขา S&P หรือมีบางสาขาที่แยกออกมาเป็น Bluecup Standalone เลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจจัดเลี้ยงภายใต้ชื่อ Caterman สำหรับงานอีเวนต์ต่างๆ ธุรกิจจัดส่งอาหารถึงบ้านซึ่งเมื่อก่อนใช้เบอร์ 1344 ที่ฮิตมากๆ จนตอนนี้พัฒนาสู่แอปพลิเคชันและช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย ธุรกิจผลิตสินค้าให้แบรนด์อื่น (OEM) รวมถึงการทำผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปและอาหารแช่แข็ง ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูงในยุคที่คนเร่งรีบ หรือแม้กระทั่งการนำเข้าแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังจากต่างประเทศมาเปิดในไทย อย่าง Maisen (ร้านทงคัตสึ), Umenohana (ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ไคเซกิ), หรือการพัฒนาแบรนด์ร้านอาหารไทยระดับพรีเมียมอย่าง Patara ในต่างประเทศด้วย นี่แสดงให้เห็นว่า เจ้าของs&p มองเห็นโอกาสทางธุรกิจอยู่ตลอดเวลา และพร้อมที่จะปรับตัวและลงทุนในสิ่งที่คิดว่าจะตอบโจทย์ตลาดได้
เบื้องหลังความสำเร็จและการขยายอาณาจักรนี้ แน่นอนว่าต้องมีทีมบริหารที่แข็งแกร่งครับ หัวเรือใหญ่ของ S&P ก็ยังคงเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์จากผู้ก่อตั้ง นั่นคือ ครอบครัวไรวาและครอบครัวศิลาอ่อน ซึ่งเป็น เจ้าของs&p มาตั้งแต่แรกเริ่ม ปัจจุบันมีทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามาบริหารงานในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น คุณวิทูร ศิลาอ่อน ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และคุณกำธร ศิลาอ่อน ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการผลิต (CFO & Chief Production Officer) การผสมผสานประสบการณ์อันยาวนานของผู้ก่อตั้ง กับวิสัยทัศน์และพลังขับเคลื่อนของทายาทรุ่นใหม่ รวมถึงการมีทีมผู้บริหารมืออาชีพในสายงานต่างๆ ทั้งสายปฏิบัติการ, สายการเงิน, สายการผลิต, สายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร ทำให้ S&P มีโครงสร้างการบริหารที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีคณะกรรมการเฉพาะด้านต่างๆ เช่น คณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจในการบริหารงานอย่างโปร่งใสและยั่งยืน
ปรัชญาการดำเนินงานของ S&P ที่ยึดมั่นมาตลอดคือการมอบ “สุขภาวะที่ดี” (Family Well-being) ให้แก่ลูกค้า โดยหัวใจหลักคือ “คุณภาพผลิตภัณฑ์และการบริการ” ซึ่งแตกออกมาเป็นหลักการทำงาน 4 ข้อที่เราคุ้นเคยกันดี นั่นคือ “บริการเรียบร้อย มีแต่ของอร่อย สถานที่สะอาด บรรยากาศดี” หลักการง่ายๆ แต่ครอบคลุมทุกมิติของการทำธุรกิจร้านอาหารและเบเกอรี่ ที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่คุณภาพวัตถุดิบ กระบวนการผลิต รสชาติ การบริการของพนักงาน ไปจนถึงความสะอาดและบรรยากาศในร้าน การยึดมั่นในหลักการเหล่านี้เอง ที่ทำให้ S&P สามารถรักษามาตรฐานและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ามาได้อย่างยาวนาน
แต่การทำธุรกิจก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปครับ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารที่มีการแข่งขันสูง และยังต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ อย่างที่เราเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจร้านอาหารทั่วโลก S&P เองก็ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ภาครัฐมีมาตรการสั่งปิดร้านอาหารชั่วคราว หรือจำกัดเวลานั่งทานในร้าน ทำให้รายได้จากช่องทางหน้าร้านซึ่งเป็นรายได้หลักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ลองดูตัวเลขผลประกอบการในช่วงนั้นนะครับ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ในปี พ.ศ. 2561 S&P มีรายได้รวม 7,710 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งเลยทีเดียว ปี พ.ศ. 2562 รายได้ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 7,389 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 314 ล้านบาท ซึ่งก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอยู่ แต่พอมาถึง 6 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 เริ่มส่งผลกระทบรุนแรง รายได้ของ S&P ลดลงฮวบฮาบถึง 30% เหลือเพียง 2,448 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และที่น่าตกใจคือ จากที่เคยมีกำไร 110 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 กลับพลิกมาเป็น ‘ขาดทุนสุทธิ’ ถึง 77 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2563 นี่คือตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจที่พึ่งพิงการนั่งทานในร้านเป็นหลัก
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น S&P ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ครับ บริษัทเร่งปรับตัวอย่างรวดเร็ว หันมาให้ความสำคัญกับช่องทางการขายอื่นๆ มากขึ้น เช่น การขายแบบซื้อกลับบ้าน (Takeaway) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เดลิเวอรี่’ ซึ่งเป็นช่องทางที่เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงล็อกดาวน์ แม้ว่ายอดขายจากเดลิเวอรี่จะช่วยบรรเทาผลกระทบได้บางส่วน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะมาชดเชยรายได้มหาศาลที่หายไปจากช่องทางการนั่งทานในร้านทั้งหมดได้ นอกจากนี้ บริษัทยังต้องทบทวนโครงสร้างธุรกิจและสาขา มีการตัดสินใจที่ยากลำบาก เช่น การปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร เพื่อลดต้นทุนและประคองสถานการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันต้องทำ การปรับตัวเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความพยายามของ เจ้าของs&p และทีมบริหารในการนำพาองค์กรฝ่าวิกฤต

ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง การควบคุมโรคระบาดดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ธุรกิจร้านอาหารก็ค่อยๆ ทยอยฟื้นตัวตามลำดับ S&P เองก็กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูและปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปหลังช่วงโรคระบาด ตลาดเดลิเวอรี่และอาหารพร้อมทานยังคงมีความสำคัญ แต่การกลับมาของลูกค้าที่ร้านก็เป็นสัญญาณที่ดี
ในมุมมองการเงินและการลงทุน S&P เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มานาน ทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลค่อนข้างโปร่งใส โครงสร้างผู้ถือหุ้นหลักยังคงเป็นของตระกูลไรวาและศิลาอ่อน ซึ่งเป็น เจ้าของs&p ส่วนใหญ่ของบริษัท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ S&P มีความผันผวนตามภาวะตลาดและผลประกอบการ ในช่วงเวลาต่างๆ กัน ตัวเลขมูลค่าตลาดอาจอยู่ราวๆ 4,400 ล้านบาท ไปจนถึง 9,000 ล้านบาท ซึ่งก็สะท้อนถึงขนาดของธุรกิจที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ในตลาดหุ้นไทย
สำหรับการมองไปในอนาคต S&P ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต จากฐานธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ได้พึ่งพิงแค่ร้านอาหารอย่างเดียว แต่มีทั้งเบเกอรี่ ธุรกิจจัดเลี้ยง ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป และช่องทางออนไลน์ รวมถึงการขยายตลาดต่างประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ การร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง อย่างเช่น บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Minor International PCL.) ผ่านบริษัทร่วมทุน Strategic Brands Network ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ในการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเสริมความแข็งแกร่งในการขยายธุรกิจร้านอาหารและระบบแฟรนไชส์
สรุปแล้ว เรื่องราวของ S&P จากร้านไอศกรีมเล็กๆ สู่บริษัทมหาชนชั้นนำ เป็นเรื่องราวของการเติบโตที่อาศัยคุณภาพ นวัตกรรม การบริหารจัดการจากรุ่นสู่รุ่น และที่สำคัญคือ การปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เข้ามา โดยเฉพาะวิกฤตโควิด-19 ที่ทดสอบความแข็งแกร่งของบริษัทอย่างแท้จริง
สำหรับใครที่สนใจในมุมของการลงทุน หรือแค่อยากทำความรู้จักกับธุรกิจที่คุ้นเคยอย่าง S&P ให้มากขึ้น เรื่องราวเบื้องหลังเหล่านี้ทำให้เราเห็นว่า นี่ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร แต่เป็นอาณาจักรที่มีการบริหารจัดการที่ซับซ้อน มีกลยุทธ์ที่หลากหลาย และมีผู้คนที่ทุ่มเททำงานอยู่เบื้องหลัง ซึ่ง เจ้าของs&p และทีมงาน ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะนำพาองค์กรให้ก้าวต่อไปในโลกธุรกิจที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
⚠️ หากคุณเป็นนักลงทุนและกำลังมองหาโอกาส ควรศึกษาข้อมูลผลประกอบการล่าสุดของ S&P อย่างละเอียด รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมร้านอาหารและการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจ นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องต้นทุนวัตถุดิบ การแข่งขันที่สูง และการปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากมีสภาพคล่องทางการเงินไม่สูง หรือยังไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ แนะนำให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ