
ช่วงนี้ถ้าใครติดตามข่าวสารการเงิน หรือแม้แต่แค่เปิดผ่านๆ หน้าฟีดข่าว ก็คงได้ยินชื่อ “ดัชนี Nikkei 225” ของญี่ปุ่นบ่อยๆ ใช่ไหมครับ? ดัชนีตัวนี้กำลังเป็นพระเอก (หรือนางเอก) ที่ถูกพูดถึงอย่างมาก เพราะเพิ่งจะทำสถิติสูงสุดในรอบหลายสิบปี แซงหน้าจุดสูงสุดเดิมเมื่อครั้งฟองสบู่แตกไปได้สำเร็จ หลายคนอาจจะสงสัยว่า nikkei 225 คือ อะไร? ทำไมมันถึงได้คึกคักน่าจับตาขนาดนี้? แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับนักลงทุนในบ้านเราอย่างเราๆ บ้าง?
มาทำความรู้จักกับ Nikkei 225 แบบง่ายๆ กันก่อนนะครับ ลองนึกภาพว่าถ้าตลาดหุ้นไทยมีดัชนี SET Index เป็นตัวแทนภาพรวม ตลาดหุ้นอเมริกามีดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA) หรือ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เป็นตัวชี้วัดสำคัญ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่โตเกียว (ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว หรือ Tokyo Stock Exchange) ก็มี Nikkei 225 นี่แหละครับที่เป็นตัวท็อปสุด เป็นเหมือนหน้าตาของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
เจ้าดัชนี nikkei 225 คือ ดัชนีที่รวบรวมราคาหุ้นของ 225 บริษัทชั้นนำในญี่ปุ่น จัดว่าเป็นดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียเลยนะ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2493 โดยหนังสือพิมพ์ Nihon Keizai Shimbun หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า The Nikkei การคำนวณของเขาก็จะพิเศษหน่อย คือใช้การถ่วงน้ำหนักด้วยราคา (Price-Weighted Index) หมายความว่าหุ้นตัวไหนราคาต่อหุ้นสูงๆ ก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าหุ้นที่ราคาต่อหุ้นต่ำๆ ครับ ต่างจากบ้านเราที่ส่วนใหญ่จะถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด (Market Cap) การเลือกหุ้นเข้าดัชนี Nikkei 225 เขาก็จะดูทั้งเรื่องสภาพคล่อง และความสมดุลของอุตสาหกรรม โดยครอบคลุมถึง 36 กลุ่มอุตสาหกรรมเลยทีเดียว

ทีนี้ มาดูความน่าตื่นเต้นในช่วงที่ผ่านมากันบ้างครับ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมานี้เอง ดัชนี nikkei 225 คือ ได้ทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 40,097.63 จุด ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในรอบ 34 ปี แซงหน้าจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2532 สมัยที่ญี่ปุ่นอยู่ในช่วงฟองสบู่เศรษฐกิจก่อนจะเผชิญภาวะซบเซายาวนาน เรียกว่าเป็นการกลับมาผงาดอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ ครับ
เพื่อนผมที่ชอบติดตามข่าวสารตลาดหุ้นถามผมอยู่บ่อยๆ ว่า “ทำไมตลาดหุ้นญี่ปุ่นถึงฟื้นขึ้นมาแรงขนาดนี้ มีปัจจัยอะไรบ้าง?” คำตอบมีหลายด้านเลยครับ อย่างแรกเลยต้องพูดถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่แม้จะเริ่มส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบ้างแล้ว แต่โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นนโยบายที่ค่อนข้างผ่อนคลาย ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถกู้ยืมไปลงทุนพัฒนาธุรกิจได้ง่ายขึ้น
นอกจากนโยบายการเงินแล้ว ภาครัฐและตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้นิ่งดูดาย มีการผลักดันการปฏิรูปที่เรียกว่า Tokyo Stock Exchange Reform ซึ่งเน้นไปที่การกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/B Ratio) น้อยกว่า 1 เท่า ถูกผลักดันให้ต้องปรับปรุงตัวเอง อาจจะต้องมีการซื้อหุ้นคืน (Share Buybacks) มากขึ้น ซึ่งการซื้อหุ้นคืนเนี่ยเป็นเรื่องดีต่อผู้ถือหุ้นเลยนะครับ เพราะมันจะไปช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้น (EPS) และเพิ่มผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ทำให้บริษัทดูน่าสนใจขึ้นในสายตาของนักลงทุน
ปัจจัยทางเศรษฐกิจก็มีส่วนสำคัญครับ ญี่ปุ่นเองกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หลังจากเผชิญภาวะเงินฝืดมานานหลายปี ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ครับ ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่ธนาคารกลางต้องการ การปรับขึ้นค่าจ้างของหลายๆ บริษัทซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับคนในประเทศ การบริโภคภายในประเทศก็ดูแข็งแรงขึ้น ไม่นับรวมการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าไปเที่ยวญี่ปุ่น ทำให้ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ นอกจากนี้ บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งยังมีการปรับกลยุทธ์ห่วงโซ่อุปทาน โดยเริ่มเน้นการผลิตในประเทศมากขึ้น ซึ่งก็ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภายในครับ
ทีนี้ มาดูกันว่าใน 225 บริษัทชั้นนำของ Nikkei 225 มีบริษัทที่เราคุ้นเคยกันบ้างไหม? แน่นอนว่ามีครับ! อย่าง UNIQLO เสื้อผ้าที่เราใส่กันนี่แหละ อยู่ภายใต้บริษัท Fast Retailing ซึ่งเป็นบริษัทที่มีน้ำหนักมากที่สุดในดัชนีเลยนะครับ รองลงมาก็มีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Tokyo Electron ที่ทำอุปกรณ์เกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ หรือ SoftBank Group ที่เราคุ้นชื่อกันดีในธุรกิจโทรคมนาคมและเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่เราใช้สินค้าหรือบริการอยู่เป็นประจำอีกเพียบเลยครับ เช่น Toyota, Sony, Canon, Honda, Hitachi, Fujitsu, Panasonic, หรือแม้แต่ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศอย่าง Daikin ก็อยู่ในดัชนีนี้ด้วย เรียกว่าครอบคลุมตั้งแต่เทคโนโลยี สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุ การเงิน ไปจนถึงขนส่งและสาธารณูปโภคเลยครับ

สำหรับนักลงทุนไทยอย่างเรา การลงทุนในดัชนี nikkei 225 คือ โอกาสในการกระจายความเสี่ยงที่ดีมากๆ ครับ แทนที่จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย (SET50) อย่างเดียว เราก็สามารถแบ่งเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ ซึ่งเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีจุดแข็งด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และการบริหารจัดการระดับโลก แล้วเราจะลงทุนใน Nikkei 225 ได้ยังไงบ้างล่ะ?
วิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนรายย่อยบ้านเราก็คือ การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ครับ มีหลายกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือบางกองก็เน้นลงทุนตามดัชนี (Index Tracking) อย่าง Nikkei 225 โดยเฉพาะ กองทุนรวมพวกนี้ส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในความเสี่ยงระดับ 6 ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างสูง แต่ก็แลกมาด้วยโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีตามการเติบโตของตลาด ข้อดีคือเราไม่ต้องไปเลือกหุ้นรายตัว ผู้จัดการกองทุนจะดูแลให้ แถมยังกระจายความเสี่ยงในตัวอยู่แล้ว
อีกช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจคือ การลงทุนผ่าน “กองทุน ETF” ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเลยครับ เช่น NEXT FUNDS Nikkei 225 Exchange Traded Fund ซึ่งมี Ticker เป็น 1321 JT ETF ก็เหมือนกองทุนรวมประเภทหนึ่ง แต่ซื้อขายได้แบบ Real-time เหมือนหุ้นตัวหนึ่งในตลาดเลยครับ ให้สภาพคล่องสูง และลงทุนตามดัชนีเช่นกัน
หรือถ้าใครเป็นสายที่ชอบใช้เครื่องมือการเงินแบบมีอัตราทด (Leverage) ที่ให้อัตราเร่งในการทำกำไร ก็อาจจะพิจารณา “DW” (Derivative Warrant) ที่อ้างอิงดัชนี Nikkei 225 ครับ เช่น NIKKEI41 DW ที่ออกโดย J.P. Morgan ช่องทางนี้จะมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงกว่าสองวิธีแรก เพราะมีเรื่องของอัตราทดและอายุของ DW ที่จำกัดเข้ามาเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะกระโดดเข้าไปลงทุนในดัชนี nikkei 225 คือ เราก็ต้องทำความเข้าใจ “ความเสี่ยง” ด้วยนะครับ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น แม้จะฟื้นตัวแข็งแกร่ง แต่ก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน เราเคยเห็นการปรับตัวลงครั้งใหญ่ๆ มาแล้วหลายครั้งในอดีต ทั้งจากเหตุการณ์ฟองสบู่แตก วิกฤตซับไพรม์ หรือแม้แต่ภัยธรรมชาติและเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ
ข้อควรรู้เพิ่มเติมสำหรับดัชนี Nikkei 225 คือ การที่มันคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักราคา ทำให้หุ้นบางตัวที่มีราคาต่อหุ้นสูงมากๆ มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีโดยรวมค่อนข้างมาก ซึ่งบางครั้งอาจไม่สะท้อนภาพรวมของบริษัททั้งหมดในตลาด หรืออาจไม่ได้รวมเอาบริษัทที่เติบโตเร็วมากๆ หรืออยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ทั้งหมดเสมอไป เนื่องจากเกณฑ์การคัดเลือกและอัตราการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบดัชนีที่ไม่บ่อยนัก
และที่สำคัญสำหรับนักลงทุนไทยที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศคือ “ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” ครับ ถ้าเราลงทุนในสกุลเงินเยน แล้วค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท แม้ว่าดัชนี Nikkei 225 จะปรับตัวขึ้น แต่เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท มูลค่าเงินลงทุนของเราอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม หรืออาจจะลดลงก็ได้ครับ ดังนั้น ควรพิจารณาช่องทางการลงทุนที่เสนอทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ด้วยนะครับ ส่วนการลงทุนใน DW ก็มีความเสี่ยงเฉพาะตัว เช่น มูลค่าจะลดลงตามเวลาที่ผ่านไป (Time Decay) ด้วย
โดยสรุปแล้ว การลงทุนในดัชนี nikkei 225 คือ โอกาสที่น่าสนใจในการเข้าถึงตลาดหุ้นญี่ปุ่นซึ่งกำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวและมีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง ทั้งจากนโยบายภาครัฐ การปฏิรูปตลาด และสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ มีบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมายอยู่ในดัชนีนี้ และนักลงทุนไทยก็มีหลากหลายช่องทางให้เลือก ทั้งกองทุนรวม กองทุน ETF หรือแม้แต่ DW
แต่จำไว้เสมอว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงครับ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน Nikkei 225 ไม่ว่าจะผ่านช่องทางไหน ควรศึกษาข้อมูลของช่องทางนั้นๆ ให้ละเอียด ทำความเข้าใจทั้งโอกาสและความเสี่ยง พิจารณาความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และอย่าลืมดูเรื่องค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมถึงพิจารณาเรื่องการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนด้วยนะครับ
⚠️ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ