สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านที่น่ารัก วันนี้เรามาคุยเรื่องลงทุนกันแบบสบายๆ สไตล์เพื่อนเล่าให้ฟังนะคะ หลายคนอาจจะเคยมองหาโอกาสลงทุนในต่างประเทศบ้าง หรือบางทีก็สงสัยว่าหุ้นไทยที่เราถือๆ กันอยู่เนี่ย มันน่าสนใจแค่ไหนเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ทั่วโลก วันนี้มีข้อมูลน่าสนใจมาฝากค่ะ ทั้งเรื่องกองทุนที่พาเราไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และเรื่องหุ้นออสเตรเลียที่นักวิเคราะห์เขามองว่าน่าจับตา
**อยากลงทุนหุ้นเทคฯ ระดับโลก ทำยังไงดี? กองทุน NDQ ช่วยได้!**
สมมติว่าคุณอยากเป็นเจ้าของชิ้นส่วนเล็กๆ ในบริษัทอย่าง Apple, Amazon, Google หรือบริษัทเทคโนโลยีล้ำๆ อื่นๆ ที่อยู่ในอเมริกา แต่การจะไปเปิดพอร์ตหุ้นที่นู่นเองก็ดูยุ่งยากใช่ไหมคะ? ทีนี้แหละค่ะ “กองทุนอีทีเอฟ” (ETF) ก็เข้ามาเป็นพระเอกของเรา
มีกองทุนหนึ่งที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักลงทุนที่มองหาการเติบโตจากกลุ่มเทคโนโลยีและ “เศรษฐกิจใหม่” นั่นก็คือ **กองทุน BetaShares Nasdaq 100 ETF** หรือมีรหัสย่อเท่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย (ASX) ว่า **ndq** ค่ะ
เป้าหมายหลักๆ ของกองทุน **ndq** นี้ก็คือการพยายามทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ **ดัชนี Nasdaq 100** (แนสแด็ก 100) มากที่สุด ก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ดัชนีนี้คืออะไร? มันก็คือการรวมเอาบริษัทนอกภาคการเงินที่ใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็ก สหรัฐอเมริกาค่ะ ลองนึกภาพบริษัทที่เน้นนวัตกรรม เน้นเทคโนโลยี เน้นบริการสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ นั่นแหละค่ะคือกลุ่มหลักๆ ในดัชนีนี้

ทำไมถึงน่าสนใจ? ก็เพราะการลงทุนในกองทุน **ndq** เท่ากับคุณได้กระจายความเสี่ยงไปในบริษัทชั้นนำ 100 แห่งในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่นี้พร้อมๆ กัน โดยที่คุณไม่ต้องไปเลือกหุ้นทีละตัวเอง แถมค่าธรรมเนียมจัดการกองทุนก็ถือว่าไม่สูงมาก อยู่ที่ 0.48% ต่อปี (อันนี้หักจาก NAV ของกองทุนไปเลยนะคะ) แล้วกองทุนเขาก็มีการจ่ายเงินปันผลให้ครึ่งปีต่อครั้ง ซึ่งปัจจุบันมีนโยบายนำเงินปันผลกลับไปลงทุนซ้ำให้ด้วยค่ะ
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 เมษายน 2568 กองทุน **ndq** มีขนาดใหญ่พอสมควรเลยนะคะ มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ประมาณ 6.33 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย และมีเงินทุนไหลเข้ามาในกองทุนนี้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเกือบพันล้านเหรียญออสเตรเลีย ($932.63 ล้านเหรียญออสเตรเลีย) แสดงว่านักลงทุนทั่วโลกก็ให้ความสนใจกับกองทุนนี้ไม่น้อย มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ NAV ต่อหน่วยอยู่ที่ 46.20 เหรียญสหรัฐฯ ค่ะ (ข้อมูลจาก BetaShares, TradingView)
**แต่การลงทุนต่างประเทศมันไม่มีความเสี่ยงเลยเหรอ?**
แน่นอนค่ะว่าการลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง กองทุน **ndq** เองก็เช่นกัน ความเสี่ยงหลักๆ คือความเสี่ยงของตลาดโดยรวม ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีปัญหา กองทุนนี้ก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาท เงินเหรียญออสเตรเลีย และเงินเหรียญสหรัฐฯ ด้วย เพราะมูลค่ากองทุนเป็นเหรียญสหรัฐฯ แต่ถ้าคุณซื้อขายในตลาดหุ้นออสเตรเลียด้วยเงินเหรียญออสเตรเลีย ก็จะมีเรื่องค่าเงินมาเกี่ยวข้องด้วย และแน่นอนว่าเมื่อเน้นไปที่กลุ่มเทคโนโลยีและเศรษฐกิจใหม่ ก็มีความเสี่ยงเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ด้วยค่ะ ถ้าเกิดมีอะไรมากระทบกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ พร้อมกัน กองทุนนี้ก็อาจจะผันผวนได้เยอะ

**หันกลับมามองตลาดออสเตรเลีย มีอะไรน่าสนใจไหม?**
ในขณะที่หลายคนมองหาโอกาสไกลถึงอเมริกา ตลาดหุ้นออสเตรเลียเองก็มีบริษัทที่น่าสนใจไม่แพ้กันค่ะ มีกรณีศึกษาที่นักวิเคราะห์เขามองว่าน่าจับตา อย่างเช่น **หุ้น Steadfast Group Ltd** หรือมีรหัสย่อว่า **SDF**
ล่าสุด ทาง **Macquarie Group** ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชื่อดัง ได้ออกบทวิเคราะห์แนะนำหุ้น SDF ว่าเป็น **”Outperform”** หมายถึง นักวิเคราะห์เชื่อว่าหุ้นตัวนี้มีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวมค่ะ พวกเขากำหนดราคาเป้าหมายไว้ที่ 6.80 เหรียญออสเตรเลีย ในขณะที่ราคาตลาดตอนนั้น (อ้างอิงตามข้อมูล) อยู่ที่ 5.96 เหรียญออสเตรเลีย นั่นหมายถึงมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ถึงประมาณ 14% เลยทีเดียว
ทำไม Macquarie ถึงมองแบบนั้น? เขาให้เหตุผลว่าหุ้น SDF ซื้อขายในราคาที่ **”มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง”** เมื่อเทียบกับบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆ กันในต่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง TWFG ซึ่งเทรดกันที่ระดับราคาที่สูงกว่า SDF อย่างมีนัยสำคัญ (SDF มีส่วนลดประมาณ 24.6% เมื่อเทียบกับ P/E ในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ TWFG มีพรีเมียมประมาณ 135%) นอกจากนี้ SDF ยังมีแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น ทั้งในนิวซีแลนด์ เอเชีย ลอนดอน ยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักวิเคราะห์มองว่าจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต

ที่สำคัญคือ นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ด้วยว่า บริษัท SDF จะจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยคาดการณ์เงินปันผลสำหรับปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 20 เซ็นต์ต่อหุ้น (คิดเป็นผลตอบแทน 3.35%) และจะเพิ่มเป็น 21 เซ็นต์ และ 22 เซ็นต์ต่อหุ้น ในปีงบประมาณ 2569 และ 2570 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อนำศักยภาพการเติบโตของราคาหุ้นมารวมกับผลตอบแทนจากเงินปันผล คาดว่านักลงทุนที่ลงทุนในหุ้น SDF จะได้รับผลตอบแทนรวมในช่วง 12 เดือนข้างหน้ามากกว่า 17% เลยทีเดียวค่ะ (ข้อมูลจาก Macquarie ผ่าน The Motley Fool)
**ข่าวดีของอีกบริษัท: อาจมีการควบรวมกิจการ!**
อีกหนึ่งข่าวที่น่าสนใจในตลาดหุ้นออสเตรเลียคือเรื่องของบริษัท **Johns Lyng Group** หรือรหัสย่อ **JLG** มีรายงานข่าวว่า บริษัทไพรเวทอิควิตี้ (Private Equity) ชื่อ **Pacific Equity Partners** (PEP) กำลังแสดงความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการ JLG ค่ะ
การที่บริษัทประเภทไพรเวทอิควิตี้สนใจเข้าซื้อกิจการบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มักจะแสดงให้เห็นว่า พวกเขามองเห็น “มูลค่าที่ซ่อนอยู่” หรือศักยภาพที่ตลาดอาจจะยังไม่ได้มองเห็น fully และการเข้าซื้อกิจการนี้อาจมีมูลค่าสูงถึงกว่า 900 ล้านเหรียญออสเตรเลียเลยทีเดียวค่ะ ข่าวการเข้าซื้อกิจการแบบนี้มักจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทที่เป็นเป้าหมายพุ่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะนักลงทุนคาดหวังว่าผู้ซื้อจะเสนอราคาซื้อที่สูงกว่าราคาตลาดในปัจจุบันค่ะ (ข้อมูลจาก Australian Financial Review)

**สรุปและคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ**
จากข้อมูลที่เล่ามา จะเห็นว่าตลาดหุ้นมีโอกาสหลากหลายรูปแบบให้เราได้ศึกษาและพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีใหญ่ๆ อย่าง **ndq** ซึ่งช่วยให้เราเข้าถึงการเติบโตของกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างสะดวก หรือการเจาะลึกหาหุ้นรายตัวในตลาดที่เราคุ้นเคยอย่างออสเตรเลีย ที่บางบริษัทอาจจะมีมูลค่าที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับคู่แข่งทั่วโลก มีแผนการเติบโตที่ชัดเจน หรือมีข่าวคราวการควบรวมกิจการที่อาจเป็นปัจจัยเร่งให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ **การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยงเสมอ** ไม่ว่าจะเป็นกองทุน **ndq** หุ้น SDF หุ้น JLG หรือการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ราคาอาจขึ้นหรือลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม สถานการณ์เฉพาะของบริษัท อุตสาหกรรม และตลาด การมีข้อมูลที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ แต่การตัดสินใจลงทุนควรมาจากความเข้าใจของเราเอง และต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงที่เรายอมรับได้เสมอค่ะ
หากคุณสนใจการลงทุนในต่างประเทศ กองทุน ETF อย่าง **ndq** ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าศึกษา เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงในบริษัทชั้นนำได้ แต่ก็อย่าลืมศึกษาค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขต่างๆ ของกองทุนให้รอบคอบนะคะ สำหรับหุ้นรายตัวอย่าง SDF หรือ JLG การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การติดตามข่าวสาร และการประเมินมูลค่าด้วยตัวเอง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งจำเป็นค่ะ
**⚠️ คำเตือน:** ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการสรุปและวิเคราะห์จากข้อมูลที่ได้รับมา ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนโดยตรง ผู้ลงทุนควรทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และหากเป็นไปได้ ควรพิจารณาจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณมีข้อจำกัดด้านสภาพคล่องทางการเงิน การพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงควรทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งค่ะ