Dow J ผันผวน! จับตาสงครามการค้าเขย่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ

เพื่อนผม ‘น้องปอ’ เพิ่งมาถามว่า ‘พี่ๆ ช่วงนี้เห็นข่าว **ตลาดหุ้น** สหรัฐฯ ทั้ง ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500), แนสแด็ก คอมโพสิต (แนสแด็ก) หรือ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (dow j) มันขึ้นๆ ลงๆ งงไปหมดเลย สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?’

คำถามน้องปอสะท้อนความรู้สึกของนักลงทุนหลายคนในช่วงนี้เลยครับ เพราะเอาจริงๆ **ตลาดหุ้น** สหรัฐฯ ช่วงที่ผ่านมาก็เหมือนนั่งรถไฟเหาะจริงๆ ครับ มันเต็มไปด้วยความผันผวนที่ทำเอาหลายคนเวียนหัว แต่ถ้าเราลองแกะดูทีละชั้น จะพบว่ามันมีปัจจัยหลายอย่างที่กำลังรุมเร้า **ตลาดหุ้น** นี้อยู่ครับ

ลองมาดูกันว่าทำไม ดัชนี หลักๆ อย่าง ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (dow j) ถึงได้เหวี่ยงไปมาขนาดนี้ และมีอะไรที่เราต้องรู้บ้าง

**ตลาดหุ้น ที่ไม่นิ่ง และปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้**

อย่างที่น้องปอบอกเลยครับ ช่วงนี้ **ตลาดหุ้น** สหรัฐฯ ไม่นิ่งเอาเสียเลย ดัชนี S&P 500 ที่เป็นตัวแทนหุ้นขนาดใหญ่ของ สหรัฐฯ ก็มีช่วงที่ ปิดลบ ติดต่อกันหลายวัน ขณะที่ ดัชนี แนสแด็ก คอมโพสิต ซึ่งรวมหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก บางช่วงก็ดูมีแรงขึ้นมานำ ดัชนี อื่นๆ บ้าง ส่วน ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (dow j) ซึ่งเป็น ดัชนี ที่เน้นหุ้นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็เจอแรงเหวี่ยงขึ้นลงไม่ต่างกัน การเคลื่อนไหวที่สลับกันไปมานี้สะท้อนว่านักลงทุนยังไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนดีครับ

ปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่มากดดัน **ตลาดหุ้น** และทำให้ความผันผวนสูงแบบนี้หนีไม่พ้นเรื่องของ ‘อัตราดอกเบี้ย’ ครับ เหมือนเวลาเราจะกู้เงินซื้อบ้านหรือรถนั่นแหละครับ ยิ่งดอกเบี้ยสูง ต้นทุนก็ยิ่งแพง การใช้จ่ายของคนก็อาจจะลดลง การลงทุน ของบริษัทก็อาจจะชะลอตัวลง ซึ่งท้ายที่สุดก็ส่งผลต่อการเติบโตของ เศรษฐกิจ นั่นเอง

ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) คือผู้ที่คุมเรื่อง อัตราดอกเบี้ย นี้อยู่ครับ รายงานการประชุม เฟด ล่าสุดที่ออกมา ทำให้เราเห็นภาพว่า กรรมการส่วนใหญ่ใน เฟด ยังคงกังวลกับปัญหา ‘เงินเฟ้อ’ ที่ยังอยู่ในระดับสูงอยู่ดีครับ แม้พวกเขาจะเห็นพ้องกับการ ชะลอการขึ้น อัตราดอกเบี้ย ให้ช้าลงหน่อย แต่ก็ยังส่งสัญญาณว่าอาจจะต้องคง อัตราดอกเบี้ย ไว้ในระดับสูง หรืออาจจะต้องขึ้น อัตราดอกเบี้ย ต่อไปอีก จนกว่าจะแน่ใจว่า เงินเฟ้อ อยู่ภายใต้การควบคุมจริงๆ

มุมมองแบบนี้ของ เฟด ทำให้ความหวังที่ **ตลาดหุ้น** เคยมีว่า เฟด จะรีบลด อัตราดอกเบี้ย ลงมาเร็วๆ นี้เริ่มเลือนลางไปครับ ตลาดส่วนใหญ่ตอนนี้จึงคาดการณ์กันว่า เฟด อาจจะยังไม่เริ่มลด อัตราดอกเบี้ย จนกว่าจะถึงเดือนกันยายนเป็นอย่างเร็ว ซึ่งการที่ อัตราดอกเบี้ย ยังสูงอยู่นานๆ แบบนี้ ก็เป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มักจะอ่อนไหวต่อ อัตราดอกเบี้ย ครับ

แต่ที่น่าสนใจคือ ท่าทีของ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งเพิ่งตัดสินใจ ‘ลด’ อัตราดอกเบี้ย เงินฝากหลักลงไป 0.25% โดยให้เหตุผลว่าแนวโน้มของ เงินเฟ้อ และการเติบโตทาง เศรษฐกิจ ในยุโรปกำลังลดลง นี่แสดงให้เห็นว่า สภาพ เศรษฐกิจ ในแต่ละภูมิภาคไม่เหมือนกัน และนโยบายการเงินของธนาคารกลางก็แตกต่างกันไปครับ

**สงคราม การค้า และสัญญาณ เศรษฐกิจ ที่ต้องระวัง**

นอกจากเรื่องของ อัตราดอกเบี้ย แล้ว อีกปัจจัยที่กำลังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญคือเรื่องของ ‘การค้า’ และ ‘ภาษีนำเข้า’ ครับ ล่าสุด การค้า ระหว่าง สหรัฐฯ กับคู่ค้าสำคัญอย่างจีนยังคงมีประเด็นเรื่อง ภาษีนำเข้า ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การเก็บภาษีเพิ่ม แต่กำลังส่งผลกระทบกับภาพรวม เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นทางธุรกิจทั่วโลกเลยครับ

องค์กรเพื่อความร่วมมือทาง เศรษฐกิจ และการพัฒนา หรือ โออีซีดี (OECD) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ติดตามและวิเคราะห์แนวโน้ม เศรษฐกิจ โลก ถึงกับต้องออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ เศรษฐกิจ โลกและ เศรษฐกิจ สหรัฐฯ ลงเลยนะครับ โดยให้เหตุผลว่า ภาษีนำเข้า ที่เพิ่มขึ้นกำลังสร้างอุปสรรคทางการค้า และส่งผลกระทบต่อการ การลงทุน และการเติบโต ตัวเลข ‘ตัวเลขขาดดุลการค้า’ ของ สหรัฐฯ ที่แคบลงมากกว่าที่นัก เศรษฐศาสตร์ คาดการณ์ไว้ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจาก ภาษีนำเข้า ที่ทำให้การนำเข้าสินค้าบางชนิดลดลงครับ

ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนก็เริ่มมองว่า ภาษีนำเข้า พวกนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อ ‘ผลประกอบการ’ ของ บริษัท จดทะเบียนใน **ตลาดหุ้น** ในระยะสั้นได้ เพราะต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนอาจจะสูงขึ้น หรือยอดขายในตลาดต่างประเทศที่ถูกเก็บภาษีนำเข้าอาจจะลดลงได้ เรื่อง การค้า และ ภาษีนำเข้า จึงเป็นอีกประเด็นที่นักลงทุนจับตามองอย่างใกล้ชิดครับ

มาดูตัวเลข เศรษฐกิจ ในประเทศ สหรัฐฯ กันบ้างครับ แม้จะมีข่าวดีบ้าง แต่ก็มีหลายตัวที่น่ากังวล สัญญาณจาก ตลาดแรงงาน เริ่มไม่ค่อยดีนักครับ จำนวนคน ‘ขอรับสวัสดิการว่างงาน’ รายสัปดาห์กลับสูงกว่าที่คาดไว้ แถมค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ก็พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่ปลายปี 2564 แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าคนตกงานเพิ่มขึ้นนั่นแหละครับ

นอกจากนี้ ตัวเลข ‘ต้นทุนแรงงาน’ และ ‘ผลิตภาพแรงงาน’ ในไตรมาสแรกของปีก็ออกมาน่าเป็นห่วง ‘ต้นทุนแรงงานต่อหน่วย’ ซึ่งสะท้อนว่าต้องจ่ายค่าแรงเท่าไหร่เพื่อให้ได้ผลผลิตหนึ่งหน่วย เพิ่มขึ้นถึง 6.6% ซึ่งสูงกว่าที่นัก เศรษฐศาสตร์ คาดเยอะเลยครับ ขณะที่ ‘ผลิตภาพแรงงาน’ กลับลดลง 1.5% มากกว่าที่คาดไว้ด้วย ภาพรวมตรงนี้บอกว่า ต้นทุนในการผลิตของ บริษัท กำลังสูงขึ้น ในขณะที่ประสิทธิภาพในการผลิตไม่ได้ดีขึ้นตาม ซึ่งอาจจะไปบีบอัตรากำไรของ บริษัท ได้ครับ

ทั้งหมดนี้ทำให้ โออีซีดี คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจ สหรัฐฯ อาจจะ ชะลอตัวลง อย่างมากในปีนี้และปีหน้า สัญญาณเหล่านี้จากตัวเลข เศรษฐกิจ และคาดการณ์ขององค์กรระหว่างประเทศ ยิ่งตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้ม เศรษฐกิจ ในอนาคตครับ

**หุ้นรายตัว สินทรัพย์อื่นๆ และมุมมองต่อไป**

ท่ามกลางภาพรวมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ หุ้นรายตัวก็วิ่งกันคนละทางเลยครับ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีการเคลื่อนไหวผสมผสานกันไป หุ้นอย่าง แอมะซอน (Amazon) ปรับตัวขึ้นได้ดีจากข่าวเรื่อง AI และแผน การลงทุน ขนาดใหญ่ในศูนย์ข้อมูล ขณะที่หุ้น เทสลา (Tesla) ปรับตัวลงอย่างมากจากความขัดแย้งระหว่างซีอีโอและประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ส่วนหุ้นอย่าง มองโกดีบี (MongoDB) หรือ ไฟฟ์ บิโลว์ (Five Below) กลับพุ่งขึ้นแรงจาก ผลประกอบการ ที่แข็งแกร่งเกินคาด นี่แสดงให้เห็นว่าแม้ภาพรวม **ตลาดหุ้น** จะไม่ดี แต่หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวก็ยังไปต่อได้ครับ ในทางกลับกัน หุ้นอย่าง พีวีเอช (PVH) หรือ บราวน์-ฟอร์แมน (Brown-Forman) ปรับตัวลงจากความกังวลเกี่ยวกับ ภาษี และแนวโน้ม เศรษฐกิจ ที่ท้าทาย

นอกจาก **ตลาดหุ้น** แล้ว ตลาดสินทรัพย์อื่นๆ ก็มีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเช่นกันครับ ตลาดพันธบัตร อัตราผลตอบแทน พันธบัตร รัฐบาลอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นครับ นักลงทุนดูจะต้องการ ผลตอบแทน ที่สูงขึ้นสำหรับการให้รัฐบาลกู้เงิน อาจจะเพราะกังวลเรื่องหนี้สาธารณะ หรือความเสี่ยงด้านนโยบาย ส่วนใน ตลาด สกุลเงิน ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ ยังคงทรงตัว ขณะที่ บิตคอยน์ ปรับตัวลงจาก จุดสูงสุด ก่อนหน้า ทองคำ ก็ปรับตัวลงเล็กน้อยหลังจากที่ทำ จุดสูงสุด ในรอบหนึ่งเดือนไป ส่วน น้ำมันดิบ เวสต์เท็กซัส กลับมีแรงขึ้นมาครับ การเคลื่อนไหวเหล่านี้ล้วนได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทาง เศรษฐกิจ และ นโยบายการเงิน ที่กล่าวมาทั้งหมดครับ

มองไปข้างหน้า ความไม่แน่นอนยังคงเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญครับ ทิศทางของ อัตราดอกเบี้ย โดย เฟด นโยบาย การค้า โดยเฉพาะเรื่อง ภาษีนำเข้า และสัญญาณจากตัวเลข เศรษฐกิจ ที่จะประกาศออกมาในอนาคต จะยังคงเป็นปัจจัยที่กำหนดทิศทางของ **ตลาดหุ้น** และสินทรัพย์ต่างๆ ครับ

**สรุปและคำแนะนำง่ายๆ สำหรับเรา**

สรุปแล้ว **ตลาดหุ้น** สหรัฐฯ โดยรวม ทั้ง ดัชนี S&P 500, แนสแด็ก คอมโพสิต และ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (dow j) กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายทิศทางพร้อมๆ กันครับ ทั้ง นโยบายการเงิน ของ เฟด ที่ยังกังวล เงินเฟ้อ , สงคราม การค้า ด้วย ภาษีนำเข้า ที่กระทบ เศรษฐกิจ และสัญญาณจากตัวเลข เศรษฐกิจ ที่เริ่มดูอ่อนแอลง

สำหรับพวกเรานักลงทุนมือใหม่ หรือคนที่กำลังสนใจ **ตลาดหุ้น** สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจภาพรวมนี้ไว้ครับ อย่าเพิ่งตกใจไปกับการขึ้นลงของ **ตลาดหุ้น** แต่ให้มองหาข้อมูลและทำความเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบครับ ความผันผวนเป็นเรื่องปกติของ **ตลาดหุ้น** ครับ สิ่งที่สำคัญกว่าคือการวางแผน การลงทุน ให้เหมาะสมกับตัวเอง

หากคิดจะเริ่มลงทุน หรือเทรดสินทรัพย์ต่างๆ ศึกษาให้ดีก่อนนะครับ ทำความเข้าใจความเสี่ยงของแต่ละสินทรัพย์ แพลตฟอร์ม การลงทุน ออนไลน์อย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) หรือที่อื่นๆ ก็มีเครื่องมือ ข้อมูล บทวิเคราะห์ และบัญชีทดลองให้เราได้ศึกษาและฝึกฝนก่อนตัดสินใจลงทุนจริงครับ

⚠️ การลงทุนใน **ตลาดหุ้น** และสินทรัพย์อื่นๆ มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และลงทุนเท่าที่รับความเสี่ยงได้นะครับ อย่าลงทุนในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากไม่แน่ใจครับ

Leave a Reply