เคยไหมครับ… ที่เพื่อนสนิทเดินมาถามคุณด้วยแววตาเป็นประกายว่า “แก! อินเดียเนี่ย มันน่าลงทุนจริงปะ เห็นคนพูดถึงกันเยอะมากเลย!” ถ้าคำถามนี้ไปสะกิดต่อมสงสัยของคุณเข้าล่ะก็ ยินดีด้วยครับ! คุณมาถูกทางแล้ว เพราะวันนี้ผมจะชวนคุณดำดิ่งไปสำรวจ “ตลาดหุ้นอินเดีย” ดินแดนที่หลายคนมองว่าเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังตื่นจากหลับใหล และที่สำคัญจะมาไขข้อข้องใจว่าทำไมตลาดแห่งนี้ถึงน่าจับตา แถมยังได้รู้จักกับดัชนีหลักอย่าง Sensex อีกด้วย

อินเดียในวันนี้ไม่ใช่แค่มหาอำนาจด้านวัฒนธรรมหรือแหล่งกำเนิดเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ที่สำคัญของโลกอีกต่อไป แต่ยังเป็น “ตลาดเกิดใหม่” ที่กำลังพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ้นอินเดียเองก็ถือเป็นพี่ใหญ่ที่น่าจับตา ด้วยขนาดที่ใหญ่อันดับ 4 ของโลก มีตลาดหลักทรัพย์สำคัญสองแห่งที่คอยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง นั่นคือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติอินเดีย (National Stock Exchange of India หรือ NSE) และตลาดหลักทรัพย์บอมเบย์ (Bombay Stock Exchange หรือ BSE) ซึ่งทั้งสองแห่งนี้เป็นเหมือนหัวใจสำคัญที่หล่อเลี้ยงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจอินเดียมาโดยตลอด พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณกำลังมองหาโอกาสลงทุนในตลาดที่กำลังโตวันโตคืน อินเดียคือหนึ่งในตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้ามเลยครับ
แล้วอะไรคือเชื้อเพลิงที่ส่งให้เครื่องจักรเศรษฐกิจอินเดียเดินหน้าได้เร็วขนาดนี้? ปัจจัยแรกและสำคัญที่สุดเลยคือ “การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง” ของประเทศ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ลองนึกภาพคนกว่า 1,400 ล้านคน ที่กำลังมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูสิครับ ความต้องการสินค้าและบริการมหาศาลขนาดนี้ ย่อมเป็นพลังขับเคลื่อนที่น่าทึ่ง นอกจากนี้ “การลงทุนจากต่างประเทศ” (Foreign Direct Investment หรือ FDI) ที่ไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ก็เป็นอีกแรงหนุนสำคัญ เพราะนักลงทุนทั่วโลกต่างมองเห็นศักยภาพของอินเดีย สอดคล้องกับการพัฒนา “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” ที่ก้าวหน้าไม่แพ้ใคร อินเดียมีประชากร “วัยแรงงาน” จำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นจุดแข็งด้านทรัพยากรมนุษย์ที่หาได้ยากในยุคนี้ และสุดท้าย “นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ” ที่มุ่งส่งเสริมการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี ก็เป็นเหมือนใบอนุญาตชั้นเยี่ยมที่ช่วยปูทางให้อินเดียมีเสถียรภาพและแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวได้อย่างมั่นคง จากข้อมูลของ Finnomena และบลจ.พรินซิเพิล ต่างก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าปัจจัยเหล่านี้จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อไป
ในการติดตามผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นอินเดีย นักลงทุนอย่างเรา ๆ ก็ต้องมีเครื่องมือชี้วัดใช่ไหมครับ ในตลาดหุ้นอินเดีย เรามีดัชนีชี้วัดสำคัญ ๆ อยู่สองตัวหลักครับ ตัวแรกคือ Nifty 50 (นิฟตี้ ห้าสิบ) ที่รวบรวมหุ้น 50 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติอินเดีย (NSE) ส่วนอีกตัวที่สำคัญไม่แพ้กัน และอาจคุ้นหูนักลงทุนทั่วโลกมากกว่า ก็คือ Sensex (เซนเซกซ์) หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า S&P BSE Sensex ซึ่งถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า sensex index คือ อะไร มันก็คือดัชนีที่สะท้อนผลการดำเนินงานของ 30 บริษัทขนาดใหญ่และมีอิทธิพลสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์บอมเบย์ (BSE) นั่นเองครับ นอกจากสองดัชนีหลักนี้แล้ว ก็ยังมีดัชนีอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น Nifty Bank ที่เป็นตัวชี้วัดกลุ่มธนาคาร หรือ BSE Small Cap และ BSE Mid Cap ที่สะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางอีกด้วย ดัชนีเหล่านี้เป็นเหมือนเข็มทิศช่วยให้นักลงทุนอย่างเราสามารถติดตามและประเมินภาพรวมของตลาดหุ้นอินเดียได้ง่ายขึ้นครับ

เมื่อรู้ดัชนีแล้ว ก็ต้องรู้ว่าอุตสาหกรรมไหนที่กำลังมาแรงในอินเดียใช่ไหมครับ? กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจและเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นอินเดียคือ “กลุ่มบริการทางการเงิน” ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบเศรษฐกิจ ตัวอย่างธนาคารยักษ์ใหญ่ที่น่าจับตาได้แก่ HDFC Bank (เอชดีเอฟซี แบงก์) และ ICICI Bank (ไอซีไอซีไอ แบงก์) ที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการเงินแก่ประชากรจำนวนมาก ถัดมาคือ “กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ” (Information Technology) ที่อินเดียเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลก โดยมีบริษัทอย่าง Infosys (อินโฟซิส) เป็นดาวเด่น ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านไอทีชั้นนำ และสุดท้าย “กลุ่มพลังงาน” ที่ขาดไม่ได้เลย โดยเฉพาะ Reliance Industries (รีไลแอนซ์ อินดัสทรีส์) ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในอินเดีย และมีบทบาทครอบคลุมธุรกิจหลากหลาย ตั้งแต่พลังงานไปจนถึงโทรคมนาคม บริษัทเหล่านี้เป็นเหมือนเรือธงที่นำพาการเติบโตของอุตสาหกรรมนั้น ๆ และมีศักยภาพในการสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
ฟังดูดีไปหมดจนบางคนอาจจะเคลิ้มไปแล้ว แต่เดี๋ยวก่อนครับ! การลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียก็เหมือนกับการลงทุนในตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ที่ย่อมมาพร้อมกับ “ความเสี่ยงและข้อควรพิจารณา” ที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจให้ดี ประการแรกคือ “ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” (Exchange Rate Risk) ครับ เพราะเมื่อเราลงทุนในสกุลเงินรูปีของอินเดีย หากค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาทไทย ผลตอบแทนที่เราได้รับก็อาจลดลงได้ ประการที่สองคือ “ความผันผวนของตลาดหุ้น” ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดโลกมีความไม่แน่นอน หรือมีปัจจัยภายในประเทศเข้ามากระทบ และประการสุดท้ายที่นักลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี ชี้ให้เห็นคือ “Valuation (มูลค่า) ที่ค่อนข้างสูง” ครับ แม้ว่าดัชนี Sensex และ Nifty 50 จะมี Forward P/E (อัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า) ที่ค่อนข้างสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพราะนักลงทุนมองเห็นศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง ซึ่งคาดการณ์ว่ากำไรจะเติบโตถึง 6.2% ในปีนี้ และพุ่งสูงถึง 16% ในปีหน้า อย่างไรก็ตาม การจ่ายแพงกว่าก็หมายถึงความคาดหวังที่สูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้อย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจอยากจะก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดีย แต่ไม่อยากเสียเวลามานั่งศึกษาหุ้นรายตัว หรือกังวลเรื่องความซับซ้อนของการเปิดบัญชีในต่างประเทศ “กองทุนรวม” ถือเป็นทางเลือกที่สะดวกและช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีเลยครับ ปัจจุบันมีกองทุนรวมหลายกองที่ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียให้เลือก เช่น กองทุน KF-INDIA และ KFINDIARMF จากบลจ.กรุงศรี หรือกองทุน Franklin India Feeder, HSBC India Equity Fund และ Kotak India Growth Fund ที่เป็นที่รู้จักกันดี กองทุนเหล่านี้เป็นเหมือนประตูที่เปิดให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าไปร่วมเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำในอินเดียได้ง่าย ๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลให้ ข้อดีของการลงทุนผ่านกองทุนรวมคือการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายตัว และมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลพอร์ตโฟลิโอให้เรา แต่ก็ต้องไม่ลืมศึกษาค่าธรรมเนียมและนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุนด้วยนะครับ นอกจากนี้ หากมองหาช่องทางการลงทุนโดยตรงในสินทรัพย์ต่างประเทศผ่านโบรกเกอร์ แพลตฟอร์มระหว่างประเทศอย่าง Moneta Markets ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นักลงทุนบางท่านอาจพิจารณาเพื่อเข้าถึงตลาดที่หลากหลายขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนในลักษณะนี้ก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป และควรศึกษาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ

มองไปข้างหน้า ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติบโตในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง จากแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจภายในประเทศอันแข็งแกร่ง ประชากรจำนวนมหาศาลที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่เอื้อต่อการลงทุนและพัฒนาประเทศ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียที่พึ่งพาการบริโภคภายในเป็นหลักนี้ ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียมีความสัมพันธ์ (Correlation) ที่ค่อนข้างต่ำกับตลาดหุ้นโลก ซึ่งหมายความว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นโลกมีความผันผวน ตลาดหุ้นอินเดียอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า หรือบางทีอาจวิ่งสวนทางได้เลยทีเดียว ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ในพอร์ตการลงทุนของคุณ จากรายงานของ Finnomena และบลจ.พรินซิเพิล ชี้ว่า อินเดียมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product หรือ GDP) ที่น่าประทับใจ และมีจำนวนประชากรวัยแรงงานมากที่สุดในโลก ตัวเลขเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าอินเดียมีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในระยะยาวที่สดใส
สุดท้ายนี้ สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ แม้อินเดียจะเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยงเสมอครับ ไม่มีอะไรการันตีผลตอบแทนในอนาคตได้ นักลงทุนควรเริ่มต้นจากการ “ศึกษาข้อมูล” ให้ละเอียดรอบด้าน “ทำความเข้าใจความเสี่ยง” ที่อาจเกิดขึ้น และ “ประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยง” ของตนเองก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง หากคุณเป็นนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการเติบโตระยะยาว และสามารถรับความผันผวนของตลาดเกิดใหม่ได้ อินเดียอาจเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยเติมเต็มพอร์ตการลงทุนของคุณให้สมบูรณ์ขึ้นได้ครับ
***
**คำเตือน:** ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต
***