ไขข้อสงสัย HSI คืออะไร? ทำไมเทรดเดอร์ต้องจับตา!

สวัสดีครับทุกท่านที่ติดตามคอลัมน์การเงินแบบบ้านๆ ของผม วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องหนึ่งที่อาจจะดูไกลตัวนิดหน่อย แต่จริงๆ แล้วส่งผลกระทบกับเงินในกระเป๋าเราได้เหมือนกันนะ นั่นก็คือ ตลาดหุ้นฮ่องกง โดยมีพระเอกของเราในวันนี้ชื่อว่า ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index; HSI) ครับ

เคยไหมครับที่เห็นข่าวบอกว่า “หุ้นฮ่องกงร่วงแรง” หรือ “ตลาดเอเชียปรับตัวขึ้น นำโดยดัชนีฮั่งเส็ง” แล้วก็เกิดคำถามในใจว่า เอ๊ะ ไอ้เจ้า HSI เนี่ย hsi คืออะไรกันแน่? ทำไมมันถึงสำคัญ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเราที่เป็นนักลงทุนไทย วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนเลยครับ

เอาแบบพื้นฐานสุดๆ ก่อนเลยนะ hsi คือ ดัชนีที่ใช้วัดประสิทธิภาพของตลาดหุ้นฮ่องกง พูดง่ายๆ คือ เป็นตัวแทนภาพรวมของ “หุ้นตัวใหญ่” ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงนั่นแหละครับ เหมือนกับที่บ้านเรามี SET50 หรือ SET100 ดัชนีฮั่งเส็งเขาก็เลือกเอาหุ้นเด่นๆ ตัวท็อปๆ มาทั้งหมด ๕๒ บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทใหญ่ระดับโลกหรือบริษัทจีนที่ไปจดทะเบียนในฮ่องกงนี่แหละครับ ดัชนีตัวนี้มีมานานตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ โน่นแน่ะ ก่อตั้งโดย Hang Seng Bank ก็เลยใช้ชื่อนี้ ใครๆ ทั่วโลกเขาก็ตามดูกัน เพราะตลาดฮ่องกงมันเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกเยอะมาก

วิธีการคำนวณดัชนีเขาก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากครับ หลักๆ ก็ดูจาก “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” หรือ Market Cap นั่นแหละ แล้วก็ถ่วงน้ำหนักตามขนาดของบริษัท บริษัทไหนใหญ่มาก มี Market Cap สูงมาก ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากหน่อย เปรียบเหมือนห้องเรียนที่มีนักเรียนเก่งกับนักเรียนทั่วไป คะแนนเฉลี่ยห้องก็จะถูกดึงขึ้นลงโดยคะแนนของนักเรียนเก่งๆ เยอะหน่อยครับ ซึ่งรายชื่อหุ้น ๕๒ ตัวนี้เขาก็มีการทบทวนปรับเปลี่ยนกันทุกๆ ๓ เดือนนะ ไม่ใช่ว่าอยู่ถาวร

ทีนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วหุ้นในดัชนีฮั่งเส็งส่วนใหญ่เป็นหุ้นแนวไหน จากข้อมูลที่ผมได้มา (อ้างอิงจาก InnovestX Cafe Invest) พบว่ากลุ่มที่ครองสัดส่วนใหญ่ๆ ก็คือภาคการเงินครับ กินไปเกือบ ๔๐% รองลงมาก็เป็นภาคพาณิชย์และอุตสาหกรรม ประมาณ ๓๐% นั่นทำให้เวลาที่หุ้นกลุ่มแบงก์หรือกลุ่มบริษัทใหญ่ๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกหรือการผลิตในฮ่องกง/จีนขยับเนี่ย ดัชนีฮั่งเส็งก็จะตอบสนองค่อนข้างไวเลยล่ะ

แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เจ้าดัชนีฮั่งเส็งมันขึ้นๆ ลงๆ ได้ขนาดนี้ เหมือนหุ้นไทยเราที่ปัจจัยเพียบ ใช่ครับ! ปัจจัยที่ส่งผลต่อ HSI เนี่ย ไม่ได้มีแค่เรื่องภายในฮ่องกงอย่างเดียวนะ แต่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างแยกไม่ออกเลย โดยเฉพาะ “สองมหาอำนาจ” อย่างจีนกับสหรัฐอเมริกาเนี่ย มีอิทธิพลสุดๆ ครับ

* **สภาวะเศรษฐกิจโลก:** ถ้าเศรษฐกิจจีนไม่ดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว การค้าโลกซบเซา ฮ่องกงซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าสำคัญของเอเชียก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย บริษัทที่อยู่ในดัชนีหลายแห่งก็ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับการส่งออก การค้าขายระหว่างประเทศ พอเศรษฐกิจแย่ รายได้ก็หด หุ้นก็มีโอกาสร่วง
* **เหตุการณ์ทางการเมือง:** อันนี้ชัดเจนเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การเมืองในฮ่องกงเอง หรือความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ เช่น สงครามการค้า หรือข้อพิพาทต่างๆ เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความไม่แน่นอนให้นักลงทุน กลัวว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาอีกหรือเปล่า ความเชื่อมั่นลดลง ตลาดหุ้นก็ผันผวนตาม
* **อัตราดอกเบี้ย:** ฮ่องกงมีระบบการเงินที่ผูกค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) ไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ธนาคารกลางฮ่องกงต้องปรับอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นหลัก เมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ต้นทุนทางการเงินก็สูงขึ้น การลงทุนชะลอตัว หุ้นก็มีโอกาสปรับลงครับ ในทางกลับกันถ้า Fed ลดดอกเบี้ย ตลาดก็อาจจะคึกคักขึ้น
* **อัตราแลกเปลี่ยน:** แม้ HKD จะผูกกับ USD แต่การเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนจีน (CNY) หรือสกุลเงินอื่นๆ ก็ส่งผลกระทบต่อบริษัทในดัชนีที่ทำธุรกิจกับประเทศเหล่านั้นเหมือนกันครับ
* **นโยบายรัฐบาล:** ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลฮ่องกงเอง หรือนโยบายของรัฐบาลจีนที่ออกมาควบคุมดูแลภาคธุรกิจต่างๆ เช่น เคยมีช่วงที่ทางการจีนเข้ามากำกับดูแลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ค่อนข้างเข้มงวด หุ้นกลุ่มเทคฯ ในฮ่องกงก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เลยครับ

ทีนี้บางคนอาจจะสับสนระหว่างดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) กับดัชนีหุ้นจีนตัวอื่นๆ ที่ได้ยินบ่อยๆ อย่าง CSI 300 แล้วสองตัวนี้มันต่างกันยังไงล่ะ?

ง่ายๆ คือ HSI เนี่ยเป็นตัวแทนของ “ตลาดหุ้นฮ่องกง” ส่วน CSI 300 เป็นตัวแทนของ “หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่” ที่ซื้อขายในตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น (เรียกว่าหุ้น A-Shares) ครับ ความแตกต่างหลักๆ เลยก็คือ:

* **ตลาดจดทะเบียน:** HSI รวมหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกง (บางตัวอาจเป็นบริษัทจีนแผ่นดินใหญ่ก็ได้ แต่ไปจดทะเบียนที่ฮ่องกง) ส่วน CSI 300 รวมเฉพาะหุ้น A-Shares ที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น
* **องค์ประกอบหุ้น:** CSI 300 มีการกระจายตัวในหลายอุตสาหกรรมมากกว่า ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค รถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ HSI จะค่อนข้างกระจุกตัวในกลุ่มการเงินและกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่มากกว่า
* **ผลตอบแทนย้อนหลัง:** แม้แนวโน้มมักจะไปในทิศทางเดียวกัน แต่จังหวะการขึ้นลงอาจต่างกันได้ครับ อย่างช่วงที่มีการคุมเข้มบริษัทเทคฯ ในจีน หุ้นใน HSI ที่เป็นกลุ่มเทคฯ ก็อาจจะปรับตัวลงมากกว่า CSI 300 ที่มีสัดส่วนกลุ่มนี้ไม่เยอะเท่า หรือช่วงโควิดที่จีนมีมาตรการเข้มงวดมากๆ ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่อาจจะซบเซา แต่บางครั้งฮ่องกงก็อาจจะได้รับผลกระทบไม่เท่ากันเป๊ะๆ ครับ

แล้วถ้าเราเป็นนักลงทุนไทย อยากลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงหรือหุ้นจีนที่ไปจดทะเบียนที่นั่นบ้าง ทำได้ไหม? ทำได้แน่นอนครับ มีหลายช่องทางเลย ที่น่าสนใจและเข้าถึงง่ายสำหรับรายย่อยอย่างเราก็คือ:

1. **การลงทุนผ่าน HSI DW (Derivative Warrant):** อันนี้เป็นเครื่องมือที่กำลังได้รับความนิยมเลยครับ DW ย่อมาจาก Derivative Warrant เป็นเหมือนใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ที่เราสามารถซื้อเพื่อเก็งกำไรการขึ้นหรือลงของดัชนีอ้างอิงต่างๆ ได้ ถ้าเรามองว่า HSI จะขึ้น ก็ซื้อ Call DW ถ้ามองว่าจะลง ก็ซื้อ Put DW ข้อดีของ HSI DW ที่หลายคนชอบก็คือ **ความผันผวนระหว่างวันที่ค่อนข้างสูงกว่า SET50 DW** ครับ จากข้อมูลที่ผมเห็น (อ้างอิงจาก SET INVESTNOW, ข้อมูล ๒ ม.ค. – ๒๘ มิ.ย. ๒๕๖๗) HSI เนี่ยแกว่งตัวเกิน ๑% ถึง ๙๕% ของวันทำการเลยนะ ในขณะที่ SET50 แกว่งตัวเกิน ๑% ประมาณ ๗๔.๒% นี่เป็นโอกาสสำหรับคนที่ชอบเทรดสั้นๆ เพื่อทำกำไรจากการแกว่งตัว นอกจากนี้ HSI DW ยังมีสภาพคล่องค่อนข้างดี เพราะมีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) คอยตั้ง Bid/Offer ไว้ ทำให้ซื้อง่ายขายคล่อง แถมยังมีข้อดีคือ **สามารถซื้อขายได้ในช่วงพักกลางวันของตลาดหุ้นไทย (๑๒.๓๐-๑๔.๓๐ น.)** ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นฮ่องกงยังเปิดทำการอยู่ ทำให้เราไม่พลาดโอกาสในช่วงบ่ายครับ แถมบางรายงาน (เช่น InnovestX Cafe Invest อ้างอิงข้อมูล พ.ย. ๒๕๖๖) ยังชี้ว่า HSI มี Valuation (การประเมินมูลค่าหุ้น) ที่น่าสนใจกว่า SET50 ด้วยนะ อย่างค่า P/E ที่ต่ำกว่า หรือเงินปันผลที่สูงกว่า

2. **การลงทุนผ่านกองทุนรวม:** อันนี้เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกสำหรับคนที่ไม่ถนัดเทรดเอง หรืออยากลงทุนระยะยาว กองทุนรวมหุ้นจีน/ฮ่องกงในไทยมีให้เลือกเพียบเลยครับ ทั้งแบบ Passive Fund ที่อิงตามดัชนีต่างๆ เช่น HSI เอง หรือดัชนีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นจีน อย่าง HSCEI (Hang Seng China Enterprise Index ที่เน้นหุ้น H Share), CSI 300, หรือ FTSE China A50 รวมถึงแบบ Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารพอร์ตให้ หรือกองทุนแบบ Thematic Fund ที่เน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น เทคโนโลยี พลังงานสะอาด การลงทุนผ่านกองทุนก็เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีครับ

พูดถึงหุ้นจีน หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อแปลกๆ อย่าง H Share, Red Chip, P Chip, A Share, B Share มันคืออะไรกันนะ? (ข้อมูลจาก เด็กการเงิน DekFinance)

* **H Share, Red Chip, P Chip:** หุ้นของบริษัทจีนที่ไปจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงนี่แหละครับ แต่แบ่งประเภทตามโครงสร้างความเป็นเจ้าของและแหล่งที่มารายได้ นักลงทุนต่างชาติอย่างเราซื้อขายได้สะดวก
* **A Share, B Share:** หุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ A Share ซื้อขายด้วยเงินหยวน ส่วน B Share ซื้อขายด้วยเงินตราต่างประเทศ แต่ก่อน A Share จะเข้าถึงยากสำหรับนักลงทุนต่างชาติ แต่ตอนนี้ก็มีช่องทางมากขึ้นแล้วครับ CSI 300 ก็อิงหุ้น A-Shares นี่แหละ
* **ADR (American Depository Receipt):** อันนี้คือใบฝากหุ้นของบริษัทจีนที่ไปจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา เช่น Nasdaq หรือ NYSE ครับ เราก็ซื้อขายในตลาดสหรัฐฯ ได้เลย

กองทุนรวมหุ้นจีน/ฮ่องกงในไทยส่วนใหญ่ก็จะไปลงทุนในหุ้นประเภทต่างๆ เหล่านี้ครับ บางกองอิงดัชนี HSI เลย บางกองอิง HSCEI บางกองไปเน้น A Share ผ่านดัชนี CSI 300 หรือ FTSE A50 หรือบางกองก็เน้นรวมหมด ทั้งจีน ฮ่องกง ไต้หวัน (เรียกกลุ่ม Greater China หรือ MSCI Golden Dragon) ดังนั้นก่อนลงทุนในกองทุนรวมหุ้นจีน/ฮ่องกง ก็ต้องดูดีๆ นะครับว่ากองทุนนั้นๆ เขาเน้นลงทุนในหุ้นประเภทไหน หรืออิงดัชนีอะไร เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายของเราครับ

เพื่อให้เห็นภาพคร่าวๆ ของดัชนีฮั่งเส็งในปัจจุบัน ผมขอยกข้อมูลสถิติบางส่วนที่ผมได้มาจาก TradingView ณ วันที่ข้อมูลนั้นถูกรวบรวมนะครับ (โปรดทราบว่าตัวเลขอาจเปลี่ยนแปลงไปจากนี้มากแล้ว ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่คุณกำลังอ่าน):

* ราคาปัจจุบันของ HSI อยู่ที่ประมาณ ๒๓,๘๙๒.๕๖ จุด (ณ เวลานั้นมีการปรับลดลงเล็กน้อย)
* ราคาสูงสุดในอดีตเคยไปแตะ ๓๓,๔๘๔.๐๘ จุด เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ปี ๒๐๑๘ นู่นเลย
* ราคาต่ำสุดในอดีตคือ ๑,๘๙๔.๙๐ จุด สมัยปี ๑๙๘๗
* ผลตอบแทนย้อนหลัง (ตามข้อมูลแหล่งที่มา): สัปดาห์ที่แล้ว -๐.๒๐%, เดือนที่แล้ว +๒.๔๗%, ปีที่แล้ว +๓๑.๙๗% (ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงภาพในอดีต ไม่รับประกันผลตอบแทนในอนาคตนะครับ)
* หุ้นตัวใหญ่ๆ ในดัชนี (วัดจากมูลค่าตลาด) ก็เช่น Tencent Holdings (สัญลักษณ์ 700), Industrial and Commercial Bank of China (1398), Alibaba Group (9988)
* หุ้นราคาแพงๆ (ราคาต่อหุ้นสูง) ก็เช่น Tencent (700), JD Health International (9961), Hong Kong Exchanges and Clearing (388)
* หุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีสุดในรอบ ๑ ปี (ตามข้อมูลแหล่งที่มา) ก็เช่น Budweiser Brewing Company APAC (1810) ที่ขึ้นไปกว่า +๒๐๐%
* หุ้นที่ให้ผลตอบแทนแย่สุดในรอบ ๑ ปี (ตามข้อมูลแหล่งที่มา) ก็เช่น WuXi Biologics (968) ที่ลดลงกว่า -๔๓%

เห็นตัวเลขพวกนี้แล้วก็พอจะนึกภาพออกนะครับว่าตลาดหุ้นฮ่องกงก็มีความเคลื่อนไหวหวือหวาไม่แพ้ตลาดอื่นในโลกเลย

สรุปแล้ว hsi คือ ดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นฮ่องกง ที่สะท้อนภาพรวมของบริษัทใหญ่ๆ ๕๒ แห่งในนั้น ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ การเมือง อัตราดอกเบี้ย และนโยบายต่างๆ มันมีความแตกต่างทั้งในเชิงโครงสร้างและลักษณะการเคลื่อนไหวเมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่อย่าง CSI 300 หรือแม้แต่ SET50 ของไทยเรา ซึ่งความแตกต่างนี้เองก็เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทย

สำหรับคนที่สนใจอยากลองลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงหรือหุ้นจีนผ่านตลาดฮ่องกง ก็มีตัวเลือกทั้ง HSI DW ที่เน้นการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวที่ผันผวนสูงกว่า SET50 และมีช่วงเวลาซื้อขายที่น่าสนใจ หรือจะเลือกลงทุนแบบสบายๆ ผ่านกองทุนรวมหุ้นจีน/ฮ่องกงประเภทต่างๆ ก็ได้ครับ การลงทุนในต่างประเทศแบบนี้ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตของเราด้วยนะ

แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DW เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน มีอัตราทด ทำให้สามารถทำกำไรได้เร็วหากคาดการณ์ถูก แต่ก็ขาดทุนได้เยอะและเร็วมากหากคาดการณ์ผิด หรือมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ค่าเสื่อมเวลา เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นถ้าเงินลงทุนก้อนนี้เป็นเงินที่เราอาจจะต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ หรือเป็นเงินทั้งหมดที่เรามี แนะนำว่าควรศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้และประเมินความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ก่อนตัดสินใจนะครับ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านเห็นภาพรวมของดัชนีฮั่งเส็งและโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง/จีนได้ชัดเจนขึ้นนะครับ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์หน้า สวัสดีครับ!

Leave a Reply