
เคยสงสัยไหมว่า เวลาข่าวต่างประเทศพูดถึง “ตลาดหุ้นฮ่องกง” หรือเห็นกราฟดัชนีตัวหนึ่งที่ขึ้นๆ ลงๆ ชื่อว่า “ฮั่งเส็ง” (Hang Seng) เนี่ย เขาหมายถึงอะไรกันแน่? แล้วเจ้าดัชนีตัวนี้มันสำคัญยังไงกับนักลงทุนอย่างเราๆ หรือแม้แต่กับเศรษฐกิจโลก? วันนี้เราจะมาคุยกันแบบสบายๆ สไตล์เพื่อนคุยกันเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้เข้าใจง่ายที่สุดครับ
เรื่องของเรื่องคือ ตลาดหุ้นฮ่องกงน่ะ เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกที่ใหญ่มากๆ แห่งหนึ่ง และเจ้าดัชนีที่ว่าเนี่ย ก็เปรียบเสมือน “เครื่องวัดไข้” หรือ “เทอร์โมมิเตอร์” ที่บอกว่าภาพรวมสุขภาพของตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นยังไง อยู่ในจุดที่คึกคักหรือซบเซา ซึ่งเจ้าเครื่องวัดตัวนี้แหละที่เราเรียกกันว่า Hang Seng Index คือ ดัชนีที่ใช้ติดตามความเคลื่อนไหวของหุ้น “พี่ใหญ่” หรือบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงๆ และซื้อขายกันคึกคักในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
เจ้าดัชนีฮั่งเส็งเนี่ยไม่ได้เพิ่งมีนะ เขาก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 นู่นแน่ะ โดยธนาคารฮั่งเส็ง (Hang Seng Bank) เองเลย ถือเป็นหนึ่งในดัชนีที่เก่าแก่และมีนักลงทุนทั่วโลกจับตามองมากที่สุดตัวหนึ่งในเอเชียเลยทีเดียว เพราะฮ่องกงเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะมาจากฮ่องกงเอง หรือแม้แต่บริษัทใหญ่ๆ จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาจดทะเบียนและระดมทุนที่นี่ ทำให้เวลาเจ้าดัชนีตัวนี้ขยับ ก็มักจะสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจและการเงินในภูมิภาคได้ค่อนข้างดีทีเดียวครับ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วข้างใน Hang Seng Index คือ อะไรบ้าง? ตอนแรกเริ่มมีแค่ 33 ตัว จากนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มีประมาณ 82 ตัวแล้วนะ (เขาตั้งเป้าจะขยับไปถึง 100 ตัวในอนาคต) หุ้นที่อยู่ในนี้ก็ไม่ได้มีแค่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง แต่หลากหลายมากๆ ตั้งแต่การเงิน เทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และอื่นๆ อีกเพียบ แต่ที่ต้องรู้ไว้คือ กลุ่มการเงินกับกลุ่มเทคโนโลยีมักจะมีน้ำหนักในดัชนีสูงหน่อย แปลว่าถ้าหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นหรือลง ดัชนีโดยรวมก็จะได้รับผลกระทบเยอะเป็นพิเศษ การคำนวณดัชนีก็ใช้สูตรที่ซับซ้อนหน่อย แต่สรุปง่ายๆ คือ เขาจะให้น้ำหนักตามมูลค่าตลาดของบริษัทนั้นๆ (ยิ่งบริษัทใหญ่ มูลค่าเยอะ ก็มีอิทธิพลต่อดัชนีมาก) และเขาก็จะมีการทบทวนรายชื่อบริษัทในดัชนีทุกๆ 3 เดือนด้วยนะ เพื่อให้แน่ใจว่าดัชนียังคงสะท้อนภาพบริษัทชั้นนำที่มีสภาพคล่องสูงในตลาดอยู่เสมอ
ทีนี้มาถึงคำถามยอดฮิต “แล้วทำไมดัชนีฮั่งเส็งมันถึงขึ้นๆ ลงๆ ผันผวนจัง?” ก็เหมือนตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกนั่นแหละครับ เจ้าดัชนีนี้เขาก็มีปัจจัยหลายอย่างมาป่วนให้ขึ้นให้ลงได้ตลอดเวลา ที่สำคัญๆ เลยก็มี:
1. **สภาพเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค:** โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่กับสหรัฐอเมริกา สองมหาอำนาจนี้จามที ฮ่องกงมีสิทธิ์เป็นหวัดได้ง่ายๆ เพราะมีการค้าขายและเชื่อมโยงทางการเงินกันอย่างมหาศาล
2. **เหตุการณ์ทางการเมือง:** เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งในฮ่องกงเองและในจีนแผ่นดินใหญ่ มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยตรงเลยครับ
3. **การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย:** ธนาคารกลางฮ่องกงเขาผูกติดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ค่อนข้างมาก พอ Fed ขยับ อัตราดอกเบี้ยฮ่องกงก็มีแนวโน้มตามไปด้วย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็มีผลต่อการลงทุนและภาพรวมเศรษฐกิจ
4. **อัตราแลกเปลี่ยน:** เงินสกุลฮ่องกง (HKD) ผูกค่าเงินไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) การเปลี่ยนแปลงของ USD ก็มีผลกระทบเช่นกัน
5. **นโยบายรัฐบาล:** ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านภาษี การค้า หรือกฎเกณฑ์การลงทุนต่างๆ ที่ออกมาจากรัฐบาลฮ่องกงหรือรัฐบาลจีน ล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาดู
จะเห็นว่า Hang Seng Index คือ ดัชนีที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศพอสมควรครับ
บางคนอาจจะเคยได้ยินดัชนีหุ้นจีนตัวอื่นอย่าง CSI 300 แล้วจะสับสนว่าสองตัวนี้เหมือนกันไหม? ต้องบอกว่าไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะครับ CSI 300 เป็นดัชนีที่รวมหุ้น 300 ตัวที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น ซึ่งเป็นตลาดในจีนแผ่นดินใหญ่จริงๆ สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นจีน A-Shares ได้กว้างกว่า เน้นอุตสาหกรรมหลากหลาย แต่สำหรับนักลงทุนต่างชาติทั่วไปจะลงทุนในหุ้น A-Shares โดยตรงได้ค่อนข้างจำกัด

ส่วน Hang Seng Index คือ ดัชนีของหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งรวมหุ้นจากหลายประเภท ทั้งหุ้นบริษัทฮ่องกงเอง และหุ้นบริษัทจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาจดทะเบียนที่ฮ่องกง (เช่น H-Shares, Red Chip, P Chip) จึงสะท้อนภาพรวมตลาดฮ่องกง และเน้นกลุ่มเทคโนโลยีกับการเงินซึ่งเป็นจุดเด่นของตลาดนี้ สรุปคือ CSI 300 เน้นตลาดจีนแผ่นดินใหญ่โดยตรง ส่วน HSI เน้นตลาดฮ่องกง ซึ่งเป็นประตูสำคัญให้นักลงทุนทั่วโลกเข้ามาลงทุนในบริษัทจีนยักษ์ใหญ่ได้ง่ายขึ้นครับ
ไหนๆ ก็พูดถึงบริษัทจีนในตลาดฮ่องกงแล้ว หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเรียกหุ้นจีนแปลกๆ เช่น H-Shares, Red Chip, P Chip มันคืออะไรกันนะ?
* **A-Shares:** อันนี้คือหุ้นบริษัทจีนแท้ๆ ที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดเซี่ยงไฮ้หรือเซินเจิ้น ซื้อขายด้วยเงินหยวน (CNY) นักลงทุนต่างชาติทั่วไปลงทุนโดยตรงได้ยาก ต้องผ่านช่องทางพิเศษ
* **B-Shares:** หุ้นบริษัทจีนเหมือนกัน ซื้อขายในเซี่ยงไฮ้/เซินเจิ้น แต่ซื้อขายด้วยเงินตราต่างประเทศ เช่น USD หรือ HKD นักลงทุนต่างชาติซื้อขายได้ แต่สภาพคล่องไม่ค่อยสูงเท่าไหร่
* **H-Shares:** อันนี้แหละสำคัญ! คือหุ้นบริษัทจีนที่มีการดำเนินงานหลักในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่เลือกมาจดทะเบียนและซื้อขายเป็นสกุลเงินฮ่องกง (HKD) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) นี่คือช่องทางหลักที่นักลงทุนต่างชาติอย่างเราๆ ใช้ลงทุนในบริษัทจีนชื่อดังต่างๆ ได้โดยตรง หุ้น H-Shares มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงมากใน HKEX
* **Red Chip (เรดชิป):** หุ้นบริษัทที่มีธุรกิจหลักส่วนใหญ่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่บริษัทแม่หรือนิติบุคคลไปจดทะเบียนอยู่นอกจีน แล้วนำหุ้นมาซื้อขายในตลาดฮ่องกง
* **P Chip (พีชิป):** อันนี้คล้ายๆ Red Chip แต่เป็นหุ้นของบริษัทเอกชนจีน (ไม่ได้มีรัฐบาลถือหุ้นใหญ่) ที่มาจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง
สรุปคือ H-Shares เป็นประเภทหลักที่เรามักจะพูดถึงเวลาลงทุนในบริษัทจีนผ่านตลาดฮ่องกงครับ เพราะ Hang Seng Index คือ ดัชนีที่มีหุ้น H-Shares ตัวใหญ่ๆ อยู่เป็นส่วนประกอบสำคัญด้วย
มาถึงคำถามที่ว่า แล้วนักลงทุนไทยอย่างเรา จะไปลงทุนใน Hang Seng Index คือ ต้องทำยังไงบ้าง? มีหลายช่องทางให้เลือกเลยครับ
1. **ลงทุนโดยตรงในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง:** อันนี้สำหรับคนที่อยากลุยเอง เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศกับบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยที่ให้บริการไปตลาดฮ่องกงได้เลย เราก็ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นหรือตราสารอื่นๆ ในตลาดฮ่องกงได้โดยตรง ข้อดีคือได้เลือกหุ้นได้หลากหลาย แต่ข้อควรรู้คือ ต้องทำความเข้าใจกฎเกณฑ์และเวลาทำการของตลาดฮ่องกง และมีค่าใช้จ่ายหลายรายการที่เราต้องเจอ (เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง)
2. **ลงทุนผ่าน ETF (Exchange Traded Fund):** ถ้าไม่อยากเลือกหุ้นรายตัวให้ปวดหัว ก็ซื้อกองทุน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้เลยครับ กองทุนพวกนี้มีนโยบายไปลงทุนอ้างอิงดัชนีต่างๆ รวมถึง HSI ด้วย (ตัวอย่างที่ดังๆ คือ Tracker Fund of Hong Kong) การซื้อขาย ETF ก็คล้ายๆ ซื้อขายหุ้นในตลาดฮ่องกงเลย สะดวกดีครับ
3. **ลงทุนผ่าน DR (ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ) ในตลาดหุ้นไทย:** อันนี้เป็นช่องทางที่น่าสนใจมากๆ สำหรับนักลงทุนไทยมือใหม่หรือเงินลงทุนไม่เยอะ เพราะเราสามารถซื้อ DR ที่ไปอ้างอิงหลักทรัพย์ในต่างประเทศ (อย่างเช่น ETF ที่อ้างอิง HSI) ผ่านแอปพลิเคชันซื้อขายหุ้นที่เราใช้เทรดหุ้นไทยปกติได้เลย ผู้ออก DR (เช่น บล.บัวหลวง ที่ออก DR HK01 ซึ่งอ้างอิง Tracker Fund of Hong Kong) จะเป็นคนไปซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศมาถือไว้ แล้วออก DR เป็นเงินบาทให้นักลงทุนไทยซื้อขาย ข้อดีคือ ซื้อง่าย ขายคล่อง ใช้เงินลงทุนไม่เยอะ ได้สิทธิประโยชน์คล้ายถือหลักทรัพย์จริง (เช่น เงินปันผล) และกำไรส่วนต่างจากการขาย DR ในตลาดหุ้นไทยยังได้รับการยกเว้นภาษีด้วยนะ! ถือเป็นตัวช่วยสุดปังจริงๆ
4. **ลงทุนใน HSI Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิงดัชนีฮั่งเส็ง):** อันนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง หรือต้องการใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เป็นการซื้อขายสัญญาที่เก็งกำไรจากมูลค่าในอนาคตของดัชนีฮั่งเส็ง ซื้อขายผ่านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าฮ่องกง ใช้ระบบมาร์จิ้นและเลเวอเรจ ทำให้ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าแต่มีความเสี่ยงสูงมากจากการใช้เลเวอเรจ การซื้อขาย HSI Futures มีสภาพคล่องสูงและซื้อขายได้เกือบตลอดเวลาทำการของฮ่องกง
สำหรับคนที่เลือกช่องทางลงทุนโดยตรงในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ก็ต้องรู้กฎกติกาของเขาหน่อยครับ
* **เวลาซื้อขาย:** วันจันทร์ถึงศุกร์ แบ่งเป็นช่วงเช้ากับช่วงบ่าย มีพักเที่ยง (เวลาฮ่องกง GMT+8 ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง)
* **สกุลเงิน:** แน่นอนว่าซื้อขายเป็นเงินสกุลฮ่องกงดอลลาร์ (HKD)
* **หน่วยการซื้อขาย (Board Lot):** หุ้นแต่ละตัวจะกำหนดจำนวนหุ้นขั้นต่ำที่ซื้อขายได้ในแต่ละคำสั่งไม่เท่ากัน ต้องตรวจสอบก่อน
* **ระยะเวลาชำระราคา:** ส่วนใหญ่เป็นแบบ T+2 คือ ชำระราคาเสร็จสิ้นในอีก 2 วันทำการหลังจากวันที่เราทำการซื้อขาย
* **ราคาเสนอขั้นต่ำ (Minimum Tick Size):** มีการกำหนดช่วงราคาเสนอซื้อขายขั้นต่ำตามระดับราคาหุ้น
และที่สำคัญคือ **ค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย** ครับ ไม่ได้มีแค่ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ที่เราจ่ายให้โบรกเกอร์นะ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ทางการเขาเรียกเก็บอีก เช่น Transaction Levy, Trading Fee, Stamp Duty (คล้ายอากรสแตมป์) และอาจมีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากค่าธรรมเนียมทั้งหมดด้วย ต้องศึกษาให้ดีก่อนครับ
โดยสรุปแล้ว Hang Seng Index คือ ดัชนีที่เป็นเหมือนหัวใจของตลาดหุ้นฮ่องกง เป็นประตูสำคัญที่เชื่อมต่อนักลงทุนทั่วโลกกับบริษัทชั้นนำทั้งในฮ่องกงและจีน การทำความเข้าใจดัชนีนี้และช่องทางการลงทุนต่างๆ จะช่วยเปิดโอกาสให้เราสามารถกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดต่างประเทศได้
⚠️ **ข้อควรจำ:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ ตลาดหุ้นฮ่องกงก็มีความผันผวนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และโดยเฉพาะการลงทุนใน HSI Futures เป็นตราสารอนุพันธ์ที่มีความซับซิ่งและใช้เลเวอเรจ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก อาจทำให้ขาดทุนมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นได้ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบและพิจารณาความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ
สำหรับนักลงทุนไทย ถ้าเป็นมือใหม่ หรือเงินลงทุนไม่เยอะมาก DR ในตลาดหุ้นไทย (อย่าง DR HK01) เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ เพราะสะดวก ซื้อง่าย ขายคล่อง ผ่านแอปฯ หุ้นที่เราคุ้นเคยได้เลย แต่ถ้ามีเงินลงทุนมากขึ้น รับความเสี่ยงได้มากขึ้น และอยากเลือกหุ้นเอง การเปิดบัญชีตรง หรือลงทุนผ่าน ETF ในตลาดฮ่องกง ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าพิจารณาครับ ส่วน HSI Futures อันนี้ขอเน้นย้ำว่าเหมาะกับผู้มีประสบการณ์และเข้าใจความเสี่ยงเป็นอย่างดีเท่านั้นนะ!