แกว่งแรง! ดัชนีดาวโจนส์ผันผวนเพราะอะไร? ไขความลับตลาดหุ้น

เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกถึงได้แกว่งตัวแรงจัง? บางวันเห็นตัวเลขดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) พุ่งขึ้นน่าดีใจ พออีกวันก็ร่วงลงมาให้ใจหายแว้บ… เหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะที่คาดเดาไม่ได้เลยค่ะ วันนี้เราจะมาแกะกล่องดูเบื้องหลังความผันผวนนี้กันว่า มีอะไรกำลังเขย่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดอื่นๆ บ้าง

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นำโดยดัชนีดาวโจนส์, S&P500, และ Nasdaq มีการเคลื่อนไหวที่น่าจับตามากๆ ค่ะ เหตุผลก็มาจากหลายๆ ปัจจัยที่มารุมเร้า ทั้งเรื่องเศรษฐกิจในประเทศ ข่าวนโยบายจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สถานการณ์ร้อนๆ ในตะวันออกกลาง รวมถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และแน่นอนค่ะ ผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ที่ประกาศออกมาก็มีส่วนด้วย

ลองย้อนดูเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ดัชนีหลักๆ ของสหรัฐฯ ปิดลบเล็กน้อยค่ะ เพราะความกังวลจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางเข้ามาบดบังข่าวดีเรื่องเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวไปชั่วขณะ แต่พอขยับมาวันที่ 10 มิถุนายน และต่อเนื่องถึง 12-13 มิถุนายน ดัชนีดาวโจนส์ และตลาดโดยรวมก็กลับมาปิดบวกได้ นั่นก็เพราะมีข่าวดีเรื่องการเจรจาการค้าที่ดูมีความหวังมากขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวออกมาดีกว่าที่คาด และผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีบางแห่งก็ดูแข็งแกร่ง

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนกลับมามีความหวังในช่วงหลังๆ คือ “ตัวเลขเงินเฟ้อ” ของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงค่ะ ทั้งดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพฤษภาคม 2568 ต่างก็ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้มากพอสมควร ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าคาดที่ 2.5% ส่วนตัวเลขที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน (Core CPI) ก็เพิ่มขึ้น 2.8% ต่ำกว่าคาดที่ 2.9% ขณะที่ดัชนี PPI ก็ออกมาในทิศทางเดียวกันคือเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าคาดการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าคาดที่ 0.2% และ Core PPI เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าคาดที่ 0.3%

พอเห็นตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มซอฟต์ลงแบบนี้ นักลงทุนก็เริ่มคาดการณ์กันไปในทิศทางเดียวกันว่า “เฟด” หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะมีแนวโน้ม “ปรับลดอัตราดอกเบี้ย” ลงได้ภายในปีนี้ค่ะ เครื่องมือวิเคราะห์ของตลาดที่ชื่อ FedWatch Tool ของ CME Group ก็บ่งชี้ว่ามีความเป็นไปได้ประมาณ 60% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ แม้ว่าจะคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมสัปดาห์หน้าก็ตาม เรื่องนี้ถึงขนาดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังออกมาเรียกร้องให้เฟดลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่เลยทีเดียวค่ะ ความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยนี่เองที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ตลาดหุ้น ดัชนีดาวโจนส์ และราคาทองคำปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพราะการลดดอกเบี้ยมักจะทำให้ต้นทุนทางการเงินถูกลง ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจและตลาดหุ้น

แต่ชีวิตก็ไม่ได้มีแต่เรื่องง่ายๆ นะคะ… อย่างที่บอกไปตอนต้น “ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง” ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน รายงานข่าวระบุว่าสหรัฐฯ มีการเตรียมอพยพเจ้าหน้าที่บางส่วนออกจากอิรัก เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ขณะที่อิหร่านก็ยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมต่อไป และยังขู่โจมตีฐานทัพสหรัฐฯ หากการเจรจาประเด็นนิวเคลียร์รอบที่ 6 ที่โอมานล้มเหลว ด้านอิสราเอลก็ดูจะเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านเช่นกัน สถานการณ์ที่ดูพร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อแบบนี้ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาด และส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกมีทั้งช่วงที่พุ่งขึ้นจากความกังวล ก่อนจะปรับลดลงในวันถัดมาเมื่อสถานการณ์ดูจะคลี่คลายลงเล็กน้อย

ในทางกลับกัน ข่าวดีเรื่อง “การเจรจาการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนก็เป็นอีกหนึ่งแรงหนุนที่สำคัญค่ะ ดูเหมือนว่าการเจรจาที่กรุงลอนดอนระหว่างเจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายจะมีความคืบหน้าและบรรลุกรอบการทำงานร่วมกันได้แล้ว มีแนวโน้มที่จะมีการพิจารณา “ผ่อนปรนมาตรการภาษี” บางรายการ เพื่อแลกกับการที่จีนจะเพิ่มการส่งออก “แร่หายาก” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้กับสหรัฐฯ มากขึ้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ เองก็มองว่าการเจรจาเป็นไปด้วยดี และอาจมีการขยายเวลาการระงับการขึ้นภาษีนำเข้าบางส่วนออกไปก่อน นี่เป็นข่าวที่ตลาดหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนีดาวโจนส์ และ Nasdaq ตอบรับในเชิงบวก เพราะความขัดแย้งทางการค้าเป็นเหมือนเมฆดำที่คอยปกคลุมบรรยากาศการลงทุนมาตลอด

นอกจากปัจจัยมหภาคเหล่านี้แล้ว “ข่าวบริษัท” ก็มีส่วนสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นรายตัวและส่งผลต่อดัชนีโดยรวมด้วยค่ะ อย่างหุ้น Oracle (ออราเคิล) ราคาก็พุ่งขึ้นแรง หลังจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด และปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ทั้งปี โดยมีแรงหนุนจากความต้องการบริการด้าน เอไอ (AI) ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหุ้น Boeing (โบอิ้ง) กลับร่วงลงหลังจากมีรายงานเครื่องบินรุ่น 787 Dreamliner ของสายการบินแอร์อินเดียประสบอุบัติเหตุ ขณะที่หุ้นเทคใหญ่อื่นๆ อย่าง Amazon (อะเมซอน) และ Alphabet (อัลฟาเบต – บริษัทแม่ของ Google) ก็ปรับขึ้น เป็นปัจจัยหนุนตลาด รับความหวังเรื่องการค้าและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เอไอ แต่ Apple (แอปเปิ้ล) กลับราคาปรับลงเล็กน้อย หลังงานประชุมนักพัฒนาประจำปี (WWDC 2568) ไม่ได้สร้างความประทับใจให้นักลงทุนเท่าที่ควร

ส่วนตลาดหุ้นยุโรปช่วงนี้ดูจะซึมๆ หน่อย เพราะกังวลเรื่องการค้าโลกและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ส่วนตลาดหุ้นไทยของเราก็ขยับขึ้นมาเล็กน้อยในบางวัน แต่ก็มีนักลงทุนต่างชาติขายออกไปบ้างค่ะ ขณะที่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากน้ำมันแล้ว ราคาทองคำก็ปรับขึ้นตามความหวังเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทำให้หุ้นบริษัทเหมืองทองคำอย่าง Newmont (นิวเมนท์) หรือ Harmony Gold (ฮาร์โมนี โกลด์) ก็ปรับขึ้นตามไปด้วย

สรุปแล้ว ดัชนีดาวโจนส์ และตลาดหุ้นทั่วโลกช่วงนี้ก็เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักกันอยู่ระหว่าง “ความหวัง” จากตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอลงและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาการค้า กับ “ความกังวล” จากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่ยังคงร้อนระอุ และปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัท

สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ ในสถานการณ์ที่ตลาดผันผวนแบบนี้ สิ่งสำคัญคือต้อง “ติดตามข่าวสาร” อย่างใกล้ชิด ทำความเข้าใจว่าปัจจัยอะไรกำลังมีน้ำหนักมากกว่ากันในแต่ละช่วงเวลา และที่สำคัญที่สุดคือ “ประเมินความเสี่ยง” ของตัวเองอยู่เสมอค่ะ อย่าเพิ่งกระโจนเข้าใส่โดยไม่วางแผน และต้องพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

Leave a Reply