
เวลาเดินห้าง หรือเห็นร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่สีน้ำเงินๆ ขาวๆ แบรนด์ S&P เราคงคุ้นเคยกันดี ใช่ไหมครับ? หรือบางทีอาจจะนึกถึงเค้กวันเกิดสวยๆ ขนมไหว้พระจันทร์อร่อยๆ หรือกาแฟ BlueCup หอมๆ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว
เคยสงสัยไหมว่า ร้านดังๆ ที่อยู่คู่คนไทยมานานขนาดนี้ เบื้องหลังความสำเร็จที่มั่นคงและเติบใหญ่ จนกลายเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์อย่าง บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือหุ้นชื่อย่อ SNP นั้น เจ้าของ s&p เขาเป็นใคร? เริ่มต้นมาได้ยังไง แล้วธุรกิจนี้ใหญ่ขนาดไหนกันเชียว?
เรื่องราวของ S&P ย้อนกลับไปปี พ.ศ. 2516 ครับ ถ้าเทียบกับคนก็เข้าสู่วัยกลางคนแล้วนะ! จุดเริ่มต้นเล็กมากๆ ครับ จากร้านไอศกรีมเล็กๆ ชื่อ S&P Ice-Cream Corner ที่ซอยสุขุมวิท 23 โดยการก่อตั้งของพี่น้องในตระกูลไรวา และตระกูลศิลาอ่อน สองนามสกุลหลักที่ยังคงเป็นเหมือนหัวใจของ S&P มาจนถึงวันนี้ จากไอศกรีม ก็ค่อยๆ ขยับขยายมาเป็นร้านอาหาร ที่มีทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติที่คนไทยคุ้นเคย และที่สำคัญคือธุรกิจเบเกอรี่ที่โดดเด่นมากๆ เชื่อไหมครับว่า S&P เนี่ย เป็นเจ้าแรกๆ เลยนะที่ทำเค้กแต่งหน้าตามสั่ง หรือเค้กการ์ตูนน่ารักๆ แบบที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ทำให้ชื่อเสียงด้านเบเกอรี่ติดลมบนไปเลย
พอธุรกิจไปได้สวย มีลูกค้าติดใจและสาขาเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ S&P ก็ตัดสินใจก้าวไปอีกขั้นที่ใหญ่มากๆ คือการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2532 การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เนี่ย เหมือนเป็นการระดมทุนเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้น มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปอย่างเราๆ สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ เจ้าของ s&p ในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ด้วยนะ! ตอนนั้นมูลค่าบริษัทก็ไม่ธรรมดาเลย
มาดูโครงสร้างธุรกิจของ S&P กันบ้าง ไม่ได้มีแค่ร้านอาหารกับร้านเบเกอรี่ที่เราเห็นหน้าร้านอย่างเดียว แต่เขามีครบวงจรเลยครับ ทั้งร้านอาหารและเบเกอรี่ทั้งในไทยและต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปแช่แข็ง (Quick Meal) ไส้กรอก หรือแม้แต่ขนมตามเทศกาลอย่างขนมไหว้พระจันทร์ก็ดังมากๆ แถมยังมีบริการจัดเลี้ยงนอกสถานที่ (Caterman) และบริการส่งอาหารถึงบ้าน (เบอร์โทรฯ 1344 ที่เราคุ้นเคย) รวมถึงธุรกิจผลิตสินค้าให้แบรนด์อื่น (OEM) ด้วย แสดงว่าเบื้องหลังร้านสวยๆ มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองถึง 4 แห่งด้วยนะ (เบเกอรี่ 3 แห่ง, อาหาร 1 แห่ง)

แล้วแบรนด์ในเครือ S&P ล่ะ มีอะไรบ้าง? โอ้โห เยอะเลยครับ นอกจาก S&P Restaurant & Bakery Shop ที่เรารู้จักดี ก็มี BlueCup Coffee ร้านกาแฟในเครือ, Patio ร้านอาหาร, มีแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นอย่าง Maisen (ทงคัตสึ) และ Umenohana (ไคเซกิ), ร้านอาหารไทย/เอเชียอื่นๆ เช่น Patara (ดังในต่างประเทศ), THAÏ, Siam Kitchen, Bangkok Jam, Nai Harng (อาหารไทย-จีน) และแบรนด์ขนมไหว้พระจันทร์ มังกรทอง แค่นี้ก็เห็นแล้วว่า S&P ไม่ได้วางไข่แค่ตะกร้าเดียว แต่กระจายความเสี่ยงไปหลายรูปแบบ หลายสไตล์อาหารเลย
ทีนี้มาดูเรื่องตัวเลขผลประกอบการกันบ้าง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนสุขภาพธุรกิจได้ดีเลย ก่อนโควิด-19 ระบาด S&P ก็ทำผลงานได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างในปี 2561 มีรายได้ 7,710 ล้านบาท กำไร 400 ล้านบาท ปี 2562 รายได้อาจจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 7,389 ล้านบาท แต่ก็ยังมีกำไร 314 ล้านบาท ถือว่ายังแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาด
แต่พอเจอสถานการณ์โควิด-19 ช่วงปี 2563 เนี่ย ธุรกิจร้านอาหารทั่วโลก รวมถึง S&P ได้รับผลกระทบหนักมากๆ เพราะมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ต้องปิดร้านชั่วคราว ยอดขายที่มาจากการนั่งทานที่ร้านหายไปเยอะมากๆ แม้ว่ายอดขายจาก Takeaway (ซื้อกลับบ้าน) และ Delivery จะเติบโตขึ้นมาก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยส่วนที่หายไปได้ครับ เห็นได้ชัดจากตัวเลข 6 เดือนแรกของปี 2563 ที่รายได้ลดฮวบลงไปประมาณ 30% เหลือ 2,448 ล้านบาท และพลิกจากที่มีกำไร 110 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2562 มาเป็นขาดทุนถึง 77 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายมากๆ บางแบรนด์ในเครือ อย่าง VANILLA ก็ต้องตัดสินใจปิดกิจการถาวรไปเลยจากพิษโควิด-19
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของ S&P คือการปรับตัวครับ พอสถานการณ์โควิดในประเทศเริ่มคลี่คลาย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น ธุรกิจร้านอาหารและเบเกอรี่ของ S&P ก็เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และความผูกพันกับลูกค้าที่ยังมีอยู่มาก
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ แน่นอนว่ามาจากวิสัยทัศน์ของ เจ้าของ s&p รุ่นสู่รุ่น ปัจจุบัน การบริหารงานหลักๆ อยู่ในมือของทายาทรุ่นที่ 2 นำโดยคุณวิทูร ศิลาอ่อน ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และยังมีทายาทคนอื่นๆ เข้ามาช่วยบริหารในด้านสำคัญๆ เช่น การเงิน การผลิต ปฏิบัติการ และการสื่อสารองค์กร (มีหลายท่านที่เก่งๆ เลย เช่น คุณกำธร ศิลาอ่อน, คุณอรรถ ประคุณหังสิต, คุณมณีสุดา ศิลาอ่อน) ซึ่งการบริหารงานแบบครอบครัวแบบนี้ บางครั้งก็มีจุดแข็งเรื่องความผูกพันและการตัดสินใจที่รวดเร็ว แต่ก็ต้องมีระบบที่ดีรองรับด้วย

ปรัชญาการทำธุรกิจของ S&P ที่สืบทอดมาก็ชัดเจนมากๆ คือการเน้นคุณภาพของสินค้าและบริการ พวกเขาเชื่อในการส่งมอบ “สุขภาวะที่ดี” ให้กับลูกค้า โดยยึดหลักการทำงาน 4 ข้อที่จำง่ายๆ คือ บริการเรียบร้อย, มีแต่ของอร่อย, สถานที่สะอาด, บรรยากาศดี หลักการเหล่านี้คงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ S&P อยู่ในใจผู้บริโภคมาได้ยาวนาน
สำหรับทิศทางในอนาคต S&P ไม่ได้มองแค่ในประเทศแล้วครับ วิสัยทัศน์ของ เจ้าของ s&p รุ่นปัจจุบันคือการยกระดับแบรนด์ S&P จากแบรนด์ระดับประเทศไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาพยายามขยายสาขาในต่างประเทศ และมีการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในระดับสากลอย่าง บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ร้านอาหารดังๆ มากมาย เพื่อเรียนรู้และนำประสบการณ์ด้านการบริหารแฟรนไชส์และการขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศมาปรับใช้
เรื่องราวของ S&P สอนให้เห็นว่า การสร้างธุรกิจจากเล็กๆ ด้วยคุณภาพและความใส่ใจ สามารถเติบโตจนกลายเป็นบริษัทมหาชนระดับประเทศได้ และแม้จะต้องเจอกับวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างโควิด-19 ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ การปรับตัว และการบริหารงานโดยทายาทที่สืบทอดเจตนารมณ์ ทำให้ S&P ยังคงเดินหน้าต่อไปได้
ในมุมมองของการลงทุน เรื่องราวของ S&P ก็เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจครับ แสดงให้เห็นถึงวัฏจักรของธุรกิจอาหารและค้าปลีก ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้เร็วเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย
อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่สนใจหุ้นในกลุ่มนี้ หรือบริษัทอย่าง S&P เอง ก็ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยงครับ ผลประกอบการในอนาคตขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขัน กำลังซื้อของผู้บริโภค และความสามารถในการบริหารจัดการ การศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอครับ