เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต: ไขรหัสตลาดหุ้นจีนที่กระทบเงินในกระเป๋าคุณ!

เพื่อนๆ เคยไหมครับ นั่งดูข่าวเช้า แล้วเห็นตัวเลขดัชนีหุ้นต่างประเทศ ขึ้นๆ ลงๆ สีเขียวบ้าง แดงบ้าง ดูแล้วงงๆ ไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรกับชีวิตเรา แล้วถ้าเห็นชื่อแปลกๆ อย่าง “ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต (Shanghai Composite Index)” ล่ะ? ฟังดูยิ่งห่างไกลตัวไปใหญ่เลยเนอะ แต่เชื่อมั้ยครับว่า ตลาดหุ้นแดนมังกรอย่างประเทศจีนเนี่ย มีอิทธิพลกับเศรษฐกิจโลก และอาจจะส่งผลมาถึงกระเป๋าเงินของเราแบบที่เราไม่รู้ตัวก็ได้นะ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเจ้า ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต หรือที่คนในวงการเขาเรียกกันว่า SSE Composite Index (เอสเอสอี คอมโพสิต อินเด็กซ์) แบบง่ายๆ สไตล์คนคุยกันเรื่องลงทุนกันดีกว่าครับ

ลองนึกภาพตามนะว่า เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต เนี่ย มันก็เหมือนกับ “มาตรวัดไข้” ของตลาดหุ้นในเมืองเซี่ยงไฮ้ ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของจีนนั่นแหละครับ เขาเริ่มเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) โดยเอาหุ้นของบริษัทใหญ่เล็กที่จดทะเบียนในตลาดนี้มากกว่า 2,000 แห่ง มารวมกัน แล้วคำนวณออกมาเป็นตัวเลข เพื่อบอกว่าภาพรวมการซื้อขายหุ้นในวันนั้นๆ เป็นยังไง ขึ้นหรือลงไปกี่จุด หรือเปลี่ยนแปลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ พูดง่ายๆ คือ ถ้าตัวเลข เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต พุ่งขึ้น ก็แปลว่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดเซี่ยงไฮ้กำลังคึกคัก นักลงทุนน่าจะกำลังแฮปปี้ แต่ถ้าดิ่งลงเหว ก็แปลว่าบรรยากาศไม่ค่อยดี คนกำลังกังวลอะไรบางอย่าง

ทีนี้ ไอ้เจ้าความกังวลที่ว่าเนี่ย มันมาจากไหนได้บ้าง? ปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่มีผลกับ เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต มาตลอดช่วงที่ผ่านมา ก็คือเรื่องราวระหว่าง “เฮียใหญ่” สองฝั่งโลก อย่าง สหรัฐอเมริกา (United States of America) กับ จีน นี่แหละครับ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการค้าและภาษี ที่คุยกันทีไร ตลาดหุ้นทั่วเอเชียรวมถึง เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ก็ออกอาการสะวิงทุกที เคยมีช่วงที่ข่าวการเจรจาการค้าดูดี ดัชนีก็ปรับขึ้นได้ แต่พอมีข่าวไม่ลงรอยกัน หรือฝ่าย สหรัฐฯ นำโดยอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีน ตลาดก็ร่วงกราวทันที หรือบางที พอศาลใน สหรัฐฯ สั่งระงับมาตรการภาษีบางอย่างชั่วคราว เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ก็กระโดดขึ้นไปตอบรับข่าวดีเหมือนกัน นี่แสดงให้เห็นเลยว่า ข่าวสารจากอีกซีกโลกหนึ่ง มีผลกับตลาดหุ้นจีนมากๆ

นอกเหนือจากเรื่องการค้าระหว่างประเทศแล้ว สุขภาพเศรษฐกิจภายในของจีนเองก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ เพราะถ้าเศรษฐกิจจีนดี บริษัทต่างๆ ก็จะมีกำไรดี นักลงทุนก็อยากจะซื้อหุ้น ทำให้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ปรับตัวขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจชะลอตัวลง ธุรกิจทำท่าจะแย่ คนไม่มีกำลังซื้อ กำไรบริษัทก็น่าจะลดลง อันนี้ก็จะไปกดดันให้ ดัชนี เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ลดลงตามไปด้วย

ตัวเลขเศรษฐกิจที่นักวิเคราะห์จับตาดูเป็นพิเศษสำหรับจีนก็มีหลายตัวเลยครับ อย่างเช่น ดัชนี PMI ภาคการผลิต (Purchasing Managers’ Index) ซึ่งสำนักข่าว ไฉซิน (Caixin) และบริษัท เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) เป็นคนสำรวจและประกาศออกมา ถ้าตัวเลขนี้สูงกว่า 50 จุด ก็แสดงว่าภาคการผลิตกำลังขยายตัว แต่ถ้าต่ำกว่า 50 จุด ก็แปลว่ากำลังหดตัว ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนพฤษภาคม 2568 ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนลดลงมาอยู่ที่ 48.3 จุด ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน และยังเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 32 เดือนเลยทีเดียว ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ก็เคยรายงานว่า ยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2568 ก็ออกมาอ่อนแอกว่าเดือนก่อนหน้า ตัวเลขพวกนี้สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการภาษีที่ สหรัฐฯ เคยใช้ก่อนหน้านี้ เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนจริงๆ ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต และแน่นอนว่าความกังวลนี้ส่งตรงถึงตลาดหุ้น ทำให้บรรยากาศการลงทุนใน เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่

ทีนี้มาดูตัวเลขจริงๆ กันบ้าง ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ดัชนี เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ปิดตลาดอยู่ที่ 3,347.49 จุด ปรับตัวลดลงไป 0.47% ในวันนั้น ลองเอาไปเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จะเห็นว่า ดัชนี SET และ SET50 ของบ้านเราก็ปรับตัวลดลงคล้ายๆ กัน ขณะที่ ดัชนี DOW (ดาวโจนส์) ของ สหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น แต่ ดัชนี Nikkei 225 (นิกเคอิ 225) ของญี่ปุ่น และ ดัชนี Hang Seng (ฮั่งเส็ง) ของฮ่องกงก็ปรับตัวลดลงเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียช่วงนั้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยบางอย่างพร้อมๆ กัน

สำหรับนักลงทุนชาวไทยอย่างเราๆ ถ้าสนใจอยากจะลงทุนในหุ้นจีนบ้าง หรืออยากลองตามกระแส ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต จะทำยังไงได้บ้างล่ะ? ต้องบอกก่อนว่า หุ้นจีนเนี่ย เขาแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามข้อจำกัดในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินะครับ ที่เห็นบ่อยๆ ก็มี:

* **A-Share:** เป็นหุ้นของบริษัทที่มีฐานอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ซื้อขายกันด้วยเงินหยวน (CNY) ปกติแล้วหุ้นกลุ่มนี้สงวนไว้ให้คนจีนเป็นหลัก หรือให้นักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่ได้รับอนุญาตพิเศษภายใต้โครงการอย่าง QFII (Qualified Foreign Institutional Investor) หรือผ่านกลไก Stock Connect (สต็อก คอนเน็ค) ที่เชื่อมตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้/เซินเจิ้นกับตลาดหุ้นฮ่องกง
* **H-Share:** เป็นหุ้นของบริษัทจีนเหมือนกันครับ แต่ไปจดทะเบียนซื้อขายที่ตลาดหุ้นฮ่องกง (Hong Kong) หุ้นกลุ่มนี้พิเศษตรงที่นักลงทุนต่างชาติอย่างเราๆ สามารถลงทุนได้อย่างอิสระและสะดวกสบายกว่า A-Share เยอะเลย เพราะซื้อขายกันด้วยเงินดอลลาร์ฮ่องกง หรือบางโบรกเกอร์อาจจะอำนวยความสะดวกให้แลกเป็นเงินบาทได้ง่ายกว่า
* **ADRs (American Depositary Receipts):** อันนี้ก็เป็นอีกทางเลือกครับ เป็นตราสารที่บริษัทจีนเอาหุ้นของตัวเองไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น สหรัฐฯ ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ นักลงทุนต่างชาติก็สามารถซื้อขายผ่านตลาดหุ้น สหรัฐฯ ได้โดยตรงเหมือนกัน

ดังนั้น ถ้าเป็นนักลงทุนไทยทั่วไป การจะเข้าลงทุนในหุ้นจีนที่สะท้อนภาวะตลาดเดียวกับ ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต มักจะทำได้สะดวกกว่าผ่านกลุ่ม H-Share หรือ ADRs นี่แหละครับ เพราะจัดการเรื่องสกุลเงินง่ายกว่า สามารถเข้าลงทุนผ่านแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ หรือแอพพลิเคชันของธนาคารในไทยที่รองรับการลงทุนหุ้นต่างประเทศได้เลย ลองสอบถามโบรกเกอร์ที่เราใช้บริการอยู่ดูก็ได้ครับว่าเขามีช่องทางลงทุนในหุ้นจีนกลุ่มนี้หรือไม่ แพลตฟอร์มระหว่างประเทศบางแห่งอย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) ก็อาจจะมีตัวเลือกหลากหลายในการซื้อขายสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับหุ้นจีนหรือดัชนีต่างๆ ให้เราเลือกพิจารณาตามความเหมาะสมครับ

นอกจากตลาดหุ้นแล้ว ตลาดทองคำก็เป็นอีกตลาดที่นักลงทุนชอบจับตาดูควบคู่กันไปนะครับ ข้อมูล ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ช่วงบ่าย ราคาทองคำแท่ง 96.5% ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ อยู่ที่ประมาณ 52,489 บาทสำหรับรับซื้อ และ 52,554 บาทสำหรับขายออก ส่วนราคาทองคำในตลาดโลก หรือ Gold Spot (โกลด์ สปอต) ก็อยู่ที่ประมาณ 3,433 ดอลลาร์ สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้ (วันที่ 14 มิถุนายน 2568) กองทุน SPDR (เอสพีดีอาร์) ซึ่งเป็นกองทุนทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็ได้เพิ่มปริมาณการถือครองทองคำขึ้นเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่นักลงทุนทองคำให้ความสนใจ แต่ในขณะเดียวกัน ดัชนี HUI (เอชยูไอ) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นของบริษัทเหมืองทองคำและเงินในเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ กลับปรับตัวลดลงเล็กน้อย ความเคลื่อนไหวพวกนี้ก็เป็นข้อมูลที่นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจได้ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยเทียบกับดอลลาร์ สหรัฐฯ ณ วันที่ใกล้เคียงกันก็อยู่ที่ประมาณ 32.379 บาทต่อดอลลาร์ สหรัฐฯ สำหรับราคารับซื้อ และ 32.409 บาทสำหรับราคาขายออก แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

เรื่องน่ารู้เล็กน้อยเกี่ยวกับข้อมูล: ข้อมูลที่เราเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือแพลตฟอร์มการเงินบางที อย่างเช่นข้อมูลจาก Fusion Media (ฟิวชั่น มีเดีย) อาจจะไม่ได้เป็นข้อมูลแบบ Real-time (เรียลไทม์) หรือมีความแม่นยำ 100% นะครับ ราคาที่แสดงอาจจะแตกต่างจากราคาซื้อขายจริงในตลาดเล็กน้อย ดังนั้นข้อมูลพวกนี้มักจะเหมาะสำหรับการดูแนวโน้ม หรือเป็นราคาอ้างอิงมากกว่า ไม่เหมาะกับการใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจซื้อขายแบบทันทีทันใด ผู้ให้ข้อมูลเองก็มักจะแจ้งไว้ชัดเจนว่า เขาและผู้เกี่ยวข้องจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการนำข้อมูลนี้ไปใช้งานโดยตรง เพราะฉะนั้น เราในฐานะนักลงทุน ก็ต้องใช้ข้อมูลด้วยความระมัดระวัง ตรวจสอบกับแหล่งที่น่าเชื่อถืออื่นๆ ประกอบด้วยนะครับ

**สรุปแบบเข้าใจง่าย:** ดัชนี เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต เป็นเหมือนตัวชี้วัดสุขภาพของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ซึ่งใหญ่มากๆ ของจีน ความเคลื่อนไหวของมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องการค้าระหว่าง สหรัฐฯ กับ จีน และตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศจีนเองที่กำลังมีสัญญาณชะลอตัวอยู่บ้างในตอนนี้ ถ้าสนใจลงทุนในตลาดที่สะท้อน เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต นักลงทุนไทยสามารถดูหุ้นจีนกลุ่ม H-Share หรือ ADRs เป็นทางเลือกได้ ผ่านช่องทางของโบรกเกอร์ไทยหรือแพลตฟอร์มต่างประเทศที่รองรับ และอย่าลืมนะครับว่า การลงทุน ไม่ว่าในตราสารทางการเงิน หุ้น หรือแม้แต่เงินดิจิทัล มีความเสี่ยงสูงมากกกกก อาจถึงขั้นสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมดเลยก็ได้ครับ การลงทุนพวกนี้อาจจะไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคนจริงๆ นะ

**ข้อคิดก่อนตัดสินใจลงทุน:** ก่อนที่จะกระโดดลงสนามลงทุน ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่มีความผันผวนสูงแบบนี้ แนะนำว่าให้ประเมินตัวเองก่อนนะครับว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน มีเงินเย็นพร้อมที่จะลงทุนจริงๆ หรือเปล่า ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทั้งบริษัทที่เราจะลงทุน ดัชนีที่เราสนใจ อย่าง ดัชนี เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต เนี่ย มันมีปัจจัยอะไรบ้างที่ขับเคลื่อนมัน ลองหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง เปรียบเทียบข้อมูล และถ้าไม่มั่นใจจริงๆ การขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก็เป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ครับ

⚠️ **คำเตือนเรื่องความเสี่ยง:** การลงทุนในตราสารทางการเงินและสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึงหุ้นจีนและตลาดที่อ้างอิง เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมดได้ การลงทุนประเภทนี้อาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกคน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน คุณควรทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ต้นทุนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ศึกษาถึงวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ของตัวเอง และพิจารณาอย่างรอบคอบถึงระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ หากมีข้อสงสัย ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่มีใบอนุญาตก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ ครับ

Leave a Reply