เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตผันผวน! จับตาสัญญาณเศรษฐกิจจีน ใครว่าไม่สำคัญ?

ช่วงนี้เปิดข่าวมาทีไร เห็นแต่ตัวเลขตลาดหุ้นแดงๆ เขียวๆ สลับไปมาจนเวียนหัวใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นอเมริกา ตลาดในยุโรป หรือแม้แต่ตลาดในเอเชียบ้านเรา ดูเหมือนทุกอย่างมันจะเกี่ยวโยงกันไปหมด ยิ่งมีข่าวเรื่องการค้า การเมืองระหว่างประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาทีไร ตลาดก็วิ่งขึ้นวิ่งลงแบบไม่ให้ตั้งตัวเลย

วันนี้ผมในฐานะคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการเงินๆ ทองๆ มาพอสมควร เลยอยากจะชวนคุยเรื่องภาพรวมตลาดการเงินทั่วโลกตอนนี้กันแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนเล่าให้ฟังครับ ว่าไอ้ปัจจัยต่างๆ ที่เราเห็นตามข่าวนั่นมันส่งผลยังไงบ้าง โดยเฉพาะตลาดสำคัญอย่างจีน ที่มี ดัชนี เซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai Composite Index) เป็นตัวบอกสุขภาพเศรษฐกิจเขา จะเป็นยังไง ไปดูกันเลย

เริ่มต้นที่ตลาดหุ้นใหญ่ๆ อย่างที่อเมริกาก่อนเลยครับ ทั้งดัชนีหลักๆ อย่าง ดาวโจนส์ (Dow Jones), S&P 500, และ แนสแด็ก (Nasdaq) ก็เหมือนรถที่วิ่งบนถนนขรุขระช่วงนี้ ขึ้นๆ ลงๆ ตลอด ส่วนใหญ่ก็มาจากหลายเรื่องผสมกัน ทั้งเรื่องความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้า (การค้า), ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (ภูมิรัฐศาสตร์) ในบางพื้นที่ของโลก และที่สำคัญมากๆ ก็คือการคาดเดาว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด (Fed) เขาจะทำยังไงกับ นโยบายการเงิน โดยเฉพาะเรื่อง อัตราดอกเบี้ย นั่นแหละครับ เวลาที่มีข่าวดีๆ เช่น มีการสั่งระงับภาษีชั่วคราว ตลาดก็เฮกันหน่อย แต่พอมีข่าวไม่แน่นอนเรื่องการค้า หรือความขัดแย้ง ตลาดก็ซึมลงทันที เรียกว่าไวต่อข่าวสารมากๆ ครับ

พอมาดูฝั่งเอเชียบ้านเรา โดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ จะเห็นว่าโดนแรงกดดันหนักพอสมควรเลยครับ สาเหตุหลักๆ ก็หนีไม่พ้นความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นี่แหละครับ (การเจรจาการค้า) ไหนจะตัวเลขเศรษฐกิจที่บางทีก็ดี บางทีก็ไม่ดีออกมาให้เห็นอีก แล้วก็ยังมีเรื่อง มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับ ภาษี ที่ออกมาใหม่ๆ อีก ยิ่งเพิ่มความผันผวนเข้าไปใหญ่ สรุปง่ายๆ คือ ตลาดหุ้นเอเชียเนี่ยอ่อนไหวกับประเด็นการค้าโลกมากๆ ครับ โดยเฉพาะท่าทีของสองพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีนเนี่ย มีผลโดยตรงกับทิศทางตลาดเลย

ทีนี้มาเจาะลึกถึงตลาดจีนหน่อยครับ พระเอกของเราวันนี้ก็คือ ดัชนี เซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai Composite Index) นั่นเองครับ ดัชนีนี้นี่เหมือนเป็น “สมุดพก” ใหญ่ประจำตัวตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange) เลย เป็นดัชนีที่ใหญ่ที่สุดในจีน มีบริษัทใหญ่ๆ จดทะเบียนอยู่กว่าสองพันแห่ง การคำนวณเขาก็ใช้แบบถ่วงน้ำหนักตาม มูลค่าราคาตลาด คือบริษัทไหนใหญ่มากก็มีผลกับดัชนีเยอะหน่อย สำหรับนักลงทุนต่างชาติอย่างเราๆ หุ้นจีนที่น่าสนใจก็มีหลายแบบครับ เช่น หุ้น A-Share (A แชร์) ที่ซื้อขายเป็นเงินหยวน (หยวน) แต่อันนี้ต่างชาติจะมีข้อจำกัดในการซื้อขายหน่อย ส่วนอีกแบบคือ หุ้น H-Share (H แชร์) ที่ไปจดทะเบียนที่ฮ่องกง อันนี้ต่างชาติลงทุนได้ค่อนข้างเสรีเลยครับ และก็มีแบบที่ไปจดทะเบียนในอเมริกาเลยอย่าง ADRs (เอดีอาร์) ซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์ (ดอลลาร์) อันนี้ก็ลงทุนได้สะดวกครับ นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ถ้าอยากลงทุนในหุ้นจีนใหญ่ๆ ก็มักจะผ่าน H-Share หรือ ADRs นี่แหละครับ มีบริษัทที่เราคุ้นชื่อเยอะแยะเลย เช่น PetroChina (ปิโตรไชน่า), China Life Insurance (ไชน่า ไลฟ์ อินชัวรันส์), China Southern Airlines (ไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ส) เป็นต้น แต่การลงทุนในดัชนี เซี่ยงไฮ้คอมโพสิต หรือหุ้นจีนโดยตรงก็มีความเสี่ยงนะครับ ทั้งจากความผันผวนของตลาดเอง และความเสี่ยงเรื่องการแลกเปลี่ยนสกุลเงินด้วย

มาดูเรื่องเงินๆ ทองๆ ระดับ นโยบายการเงิน กันบ้างครับ ที่อเมริกาเนี่ย ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อยากให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด (Fed) ลด อัตราดอกเบี้ย แบบหนักๆ เลย (jumbo rate cut) แกมองว่า อัตราเงินเฟ้อ (เงินเฟ้อ) ตอนนี้มันต่ำ ทำไมไม่ลดดอกเบี้ยล่ะ จะได้ลดต้นทุนหนี้ระยะสั้นๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ เฟด เขาก็มีท่าทีรอดูสถานการณ์ (wait-and-see) คือดูข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆ ให้ชัวร์ก่อนตัดสินใจ แม้จะโดนกดดันแค่ไหนก็ตาม ตลาดส่วนใหญ่ตอนนี้ก็ยังคาดการณ์ว่า เฟด อาจจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในช่วงเดือนกันยายนครับ นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยจำนอง (อัตราการจำนอง) ของอเมริกาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ทรงตัวครับ ซึ่งเมื่อดูประกอบกับจำนวนบ้านที่มีในตลาดมากขึ้น และราคาบ้านที่โตช้าลงหน่อย ปัจจัยพวกนี้ก็ถือเป็นเรื่องดีๆ ต่อตลาดที่อยู่อาศัยของเขาครับ

ข้อมูลเศรษฐกิจก็เหมือนสัญญาณชีพจรครับ ล่าสุด ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของอเมริกาออกมาในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นแค่ 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 0.2% ครับ ส่วนตัวเลขทั้งปีเพิ่มขึ้น 2.6% ตรงกับการคาดการณ์เป๊ะๆ ครับ ขณะที่ ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวนหนักๆ ก็เพิ่มขึ้น 0.1% รายเดือน และ 3.0% รายปี ซึ่งก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกันครับ ตัวเลข PPI ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดนี่บ่งชี้ว่าแรงกดดันด้านราคามันเริ่มผ่อนคลายลงแล้วนะ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจเรื่อง อัตราดอกเบี้ย ของ เฟด ได้ครับ

นอกจากตัวเลข PPI แล้ว ข้อมูลราคาอื่นๆ รวมถึงข้อมูลที่บ่งชี้ถึง ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI – implied) ก็บอกเป็นนัยว่าผลกระทบจากมาตรการภาษีที่ออกมามันยังไม่รุนแรงอย่างที่กลัวกัน และแรงกดดันด้านราคาก็ดูจะเบาลงจริงๆ ครับ ซึ่ง อัตราเงินเฟ้อ ที่ชะลอตัวลงนี่แหละครับ เป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้หลายคนเชื่อว่า เฟด อาจจะลด อัตราดอกเบี้ย ได้จริงตามที่ตลาดคาด ส่วนอีกหนึ่งตัวเลขสำคัญคือ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ความเชื่อมั่นผู้บริโภค) ครับ ผลสำรวจจาก University of Michigan ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนออกมาที่ระดับ 60.5 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 54 เยอะมาก แถมยังสูงกว่าเดือนก่อนหน้า (52.2) ด้วยครับ สาเหตุหลักๆ ก็มาจากผู้บริโภครู้สึกดีขึ้นกับแนวโน้ม อัตราเงินเฟ้อ ในปีข้างหน้านี่แหละครับ แสดงว่าคนอเมริการู้สึกดีขึ้นกับสภาพ เศรษฐกิจ โดยรวมครับ

นอกจากเรื่อง เศรษฐกิจ และ นโยบายการเงิน ก็มีเรื่อง ‘การเมืองโลก’ ที่เราเรียกว่า ภูมิรัฐศาสตร์ นี่แหละครับ ตัวป่วนตลาดเลย โดยเฉพาะเรื่อง การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นี่คือประเด็นที่สร้างความไม่แน่นอนสูงมากๆ และเป็นปัจจัยกดดัน ตลาดหุ้น มาตลอด แม้จะมีข่าวดีบ้างว่ากำลังคุยกรอบการทำงานร่วมกันอยู่ เช่น เรื่องการยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกแร่หายากของจีน หรือการผ่อนคลายการควบคุมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แต่เรื่องพวกนี้ก็ยังต้องรอการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากผู้นำทั้งสองฝ่าย คือประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง อยู่ดีครับ สรุปคือ แม้จะมีความคืบหน้าในการเจรจาอยู่บ้าง แต่ความไม่แน่นอนก็ยังแขวนอยู่เหนือหัว บรรยากาศการลงทุนก็เลยยังไม่สดใสนัก โดยเฉพาะใน ตลาดหุ้น เอเชีย ที่อ่อนไหวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษครับ

มาตรการ ภาษี ของสหรัฐฯ ก็ยังเป็นอีกเรื่องที่ต้องจับตา ประธานาธิบดี ทรัมป์ ยังคงมีท่าทีว่าจะใช้ มาตรการ ภาษี ฝ่ายเดียวกับคู่ค้าต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ครับ แม้จะมีข่าวว่าอาจจะผ่อนคลายหรือเลื่อนการบังคับใช้กับบางฝ่ายอย่างสหภาพยุโรป (EU) ไปก่อน เลขาธิการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก็คาดว่าประเทศที่กำลังเจรจากันอยู่อาจจะได้รับการขยายเวลาพักใช้ ภาษี ออกไปก่อนด้วย นโยบาย ภาษี ของสหรัฐฯ นี่แหละครับที่ยังเป็นปัจจัยสร้างความไม่แน่นอนใน ตลาดโลก สลับกันไปมาระหว่างการขู่จะใช้กับท่าทีที่ผ่อนปรนครับ

อีกเรื่องที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดช่วงนี้คือความตึงเครียดในตะวันออกกลางครับ ล่าสุดมีข่าวว่าอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางขีปนาวุธต่อเป้าหมายในอิหร่าน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกทันที และแน่นอนว่ากระทบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทด้วยครับ

พอมีเรื่องที่ตะวันออกกลาง น้ำมันก็พุ่งเลยครับ (ราคาน้ำมัน) ขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว บ่งบอกว่าความตึงเครียดทาง ภูมิรัฐศาสตร์ ในภูมิภาคนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน ราคาน้ำมัน ในช่วงนี้จริงๆ ครับ ส่วน ราคาทองคำ (ราคาทองคำ) ก็มีการอัปเดตให้เห็นความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดครับ ทั้งราคาในตลาดโลกอย่าง LBMA หรือราคาในบ้านเราจาก InterGold และสมาคมฯ รวมถึงสถานะของกองทุนทองคำใหญ่ๆ อย่าง SPDR และ HUI ข้อมูลเหล่านี้เป็นเหมือนภาพถ่ายสแนปช็อต ณ วันและเวลาหนึ่งๆ ให้เรารู้ว่าตลาดทองคำล่าสุดเป็นยังไงครับ

เห็นไหมครับว่า ตลาดการเงิน ทั่วโลกมันซับซ้อนแค่ไหน มีหลายปัจจัยมากๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้ง เศรษฐกิจ นโยบายการเงิน การเมือง การค้า แม้แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ก็ส่งผลกระทบได้หมด โดยเฉพาะตลาดสำคัญอย่างจีนที่สะท้อนผ่าน ดัชนี เซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ก็อ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ไม่น้อยเลย

สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นบ้างในโลกใบนี้ครับ ไม่ต้องตกใจกับความผันผวนมากเกินไป แต่ให้ใช้ข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของเรา ศึกษาให้รอบคอบ กระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม และที่สำคัญคือรู้จักระดับความเสี่ยงที่เราเองยอมรับได้ครับ

⚠️ คำเตือนสำคัญ: การลงทุนใน ตราสารทางการเงิน ทุกประเภท รวมถึง เงินดิจิทัล มีความเสี่ยงสูงมาก คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนสูงมาก และได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกหลายอย่าง ทั้งเรื่อง เศรษฐกิจ กฎหมาย และการเมือง การซื้อขายด้วย มาร์จิน (Margin) ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินให้สูงขึ้นไปอีก คุณควรตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ เหล่านี้อย่างครบถ้วน และศึกษาวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และการยอมรับความเสี่ยงของคุณเองอย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง หากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ข้อมูลต่างๆ ที่คุณเห็นตามเว็บไซต์หรือสื่อ อาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์ (real-time) หรือไม่ได้แม่นยำเสมอไป และอาจแตกต่างจากราคาจริงใน ตลาดหลักทรัพย์ ผู้ให้ข้อมูลจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการสูญเสียใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายของคุณ หรือจากการที่คุณพึ่งพาข้อมูลเหล่านั้นโดยตรง โปรดใช้วิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนตัดสินใจเสมอครับ

Leave a Reply