เพื่อนๆ นักลงทุน หรือใครที่เพิ่งเริ่มสนใจโลกการเงิน คงได้ยินข่าว “หุ้น ดาวโจนส์” (Dow Jones) พุ่งบ้าง ลงบ้าง กันทุกวันใช่ไหมครับ ดัชนีนี้เป็นเหมือนหนึ่งในมาตรวัดสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เก่าแก่และคนจับตามองมากที่สุดในโลก เพราะประกอบไปด้วยหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ระดับ “บลูชิป” (Blue Chip) จำนวน 30 ตัว ที่มีอิทธิพลต่อภาพรวมตลาดอย่างมาก แต่กว่าจะมาเป็นตัวเลขที่เห็นบนหน้าจอเนี่ย มันมีปัจจัยอะไรเบื้องหลังที่น่ารู้บ้าง วันนี้เราจะมาแกะกล่องเรื่องราวของตลาดหุ้นอเมริกา โดยเฉพาะ “หุ้น ดาวโจนส์” (Dow Jones) แบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์คอลัมนิสต์กันครับ
ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดเดือนด้วยความผันผวนแต่ก็ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจเลยทีเดียวครับ อย่างวันที่ 30 พฤษภาคม ดัชนี ดาวโจนส์ (Dow Jones) (DJIA) ก็ยังพอขยับบวกได้นิดหน่อย ปิดที่ 42,270.07 จุด เพิ่มขึ้น 54.34 จุด หรือ 0.13% แต่ดัชนีอื่นๆ อย่าง S&P 500 และแนสแด็ก (Nasdaq) กลับย่อตัวลงเล็กน้อย แม้จะเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้า โดยเฉพาะท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อจีน แต่ตลาดโดยรวมก็ฟื้นตัวจากช่วงเช้าได้ ถ้าย้อนไปวันที่ 29 พฤษภาคม ดัชนีหลักทั้งสามตัว รวมถึง ดาวโจนส์ (Dow Jones) ก็ปรับตัวขึ้นได้ดี ปิดที่ 42,215.73 จุด บวกไปถึง 117.03 จุด ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากข่าวที่ศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ระงับคำตัดสินศาลการค้าไว้ชั่วคราว ทำให้มาตรการภาษีของรัฐบาลชุดก่อนยังคงมีผลอยู่ เป็นปัจจัยที่นักลงทุนตีความในเชิงบวกในวันนั้น

แต่ถ้ามองภาพรวมตลอดทั้งเดือนพฤษภาคม จะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียวครับ โดยเฉพาะ S&P 500 ที่ทำผลตอบแทนได้ถึง 6.2% ถือว่าดีที่สุดในรอบหลายปีเลย ส่วนดัชนี ดาวโจนส์ (Dow Jones) ก็บวกไป 3.9% ในขณะที่แนสแด็ก (Nasdaq) ที่เต็มไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีก็พุ่งแรงถึง 9.6% ปัจจัยที่หนุนตลาดในเดือนนี้หลักๆ มาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด และตัวเลขเงินเฟ้อที่ไม่ได้พุ่งสูงจนน่าตกใจนัก อย่างไรก็ตาม ความผันผวนก็ยังคงอยู่เป็นระยะๆ ครับ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องการค้า ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเองก็ได้รับอานิสงส์บางส่วน ปิดเดือนพฤษภาคมเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับสหภาพยุโรปออกไป ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลลงไปได้บ้างครับ

หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ “หุ้น ดาวโจนส์” (Dow Jones) และตลาดหุ้นทั่วโลกช่วงที่ผ่านมา คือนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ครับ โดยเฉพาะการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) มีท่าทีที่ค่อนข้างแข็งกร้าว กล่าวหาจีนว่าละเมิดข้อตกลงการค้า และขู่ว่าจะใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งท่าทีแบบนี้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนอยู่เสมอ แต่ในบางครั้ง ท่านก็แสดงความหวังว่าจะได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) เพื่อแก้ไขความขัดแย้งนี้ได้ ความไม่แน่นอนจากคำพูดและการกระทำของผู้นำสหรัฐฯ นี่แหละครับ ที่เป็นเหมือน “คลื่นลม” ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนได้ง่าย คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ที่ให้มาตรการภาษีศุลกากรเดิมยังคงมีผล ก็เป็นอีกประเด็นที่ซับซ้อน เพราะกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ มองว่าคำตัดสินศาลการค้าที่สั่งระงับภาษีก่อนหน้ากระทบต่ออำนาจประธานาธิบดีและงานด้านการทูต เรื่องภาษีนี้ไม่ใช่แค่ประเด็นการเมือง แต่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจจริงๆ ครับ แม้แต่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) (Federal Reserve: Fed) อย่างคุณเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ก็เคยแสดงความกังวลถึงผลกระทบของมาตรการภาษีต่อเศรษฐกิจ ขณะที่องค์กรอย่าง เจโทร (JETRO) ของญี่ปุ่นก็ประเมินว่า “ภาษีทรัมป์” (Trump Tax) เสี่ยงทำให้จีดีพีโลกหายไปกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ เลื่อนการเก็บภาษีกับสหภาพยุโรปออกไป ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นยุโรปครับ
นอกจากเรื่องการค้าและนโยบาย อีกปัจจัยที่นักลงทุนต้องจับตาคือตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครับ ซึ่งมีผลต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดโดยตรง ตัวเลขสำคัญตัวหนึ่งคือ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตัวเลข PCE ทั่วไปอยู่ที่ +2.1% เทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ส่วน PCE พื้นฐาน (ที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน) อยู่ที่ +2.5% เทียบรายปี ซึ่งสอดคล้องกับที่คาดไว้ ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาถือว่าค่อนข้างทรงตัว ไม่ได้พุ่งน่ากลัว แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังมองว่า ตัวเลขแค่นี้อาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เฟดรีบตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยทันที เพราะเฟดยังคงกังวลปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจดันราคาสินค้าขึ้นได้อีก เช่น ผลกระทบจากมาตรการภาษี ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจ ก็มี ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) (Gross Domestic Product: GDP) ของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ประมาณการครั้งที่สองออกมาหดตัว 0.2% ซึ่งดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับประมาณการครั้งแรกที่หดตัว 0.3% แม้จะยังหดตัว แต่ตัวเลขที่ดีขึ้นก็อาจบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไม่ได้เลวร้ายเท่าที่เคยกังวลไว้ก่อนหน้า แต่ในทางกลับกัน ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ล่าสุดกลับเพิ่มสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ บ่งชี้ถึงความอ่อนแรงในตลาดแรงงานสหรัฐฯ มากกว่าที่คาด และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในเดือนพฤษภาคมก็ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า แต่ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ถึงแม้ว่ามุมมองต่อเงินเฟ้อทั้งระยะสั้นและระยะยาวจะลดลงเล็กน้อยก็ตามครับ ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่นักลงทุนต้องนำมาต่อภาพรวม เพื่อคาดเดาทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อบรรยากาศการลงทุนใน “หุ้น ดาวโจนส์” (Dow Jones) และตลาดอื่นๆ ทั่วโลก

ทีนี้เรามาเจาะลึก “หุ้น ดาวโจนส์” (Dow Jones) หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) กันหน่อย ดัชนีนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1896 เป็นดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังคงมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ชั้นนำของสหรัฐฯ จำนวน 30 ตัว ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และแนสแด็ก (NASDAQ) จุดเด่นที่แตกต่างจากดัชนีส่วนใหญ่ในตลาดโลก เช่น S&P 500 คือ ดัชนี ดาวโจนส์ (Dow Jones) คำนวณแบบ “ถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น” (Price Weighted Index) หมายความว่า หุ้นตัวไหนที่มีราคาสูง จะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีราคาต่ำ แม้ว่ามูลค่าบริษัทจะน้อยกว่าก็ตาม ต่างจากดัชนีส่วนใหญ่ที่ใช้การถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าบริษัท (Market Cap Weighted Index) ซึ่งให้ความสำคัญกับขนาดของบริษัทมากกว่า ปัจจุบันหุ้นที่ประกอบอยู่ในดัชนี ดาวโจนส์ (Dow Jones) ก็มีการปรับเปลี่ยนไปจาก 12 บริษัทแรกทั้งหมดแล้ว อย่าง GE หรือ General Electric ที่เคยอยู่มานาน ก็ถูกถอดออกไปล่าสุดเมื่อปี 2018 ครับ ส่วนประกอบของดัชนีจะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนเป็นระยะๆ เพื่อให้สะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ดียิ่งขึ้น
หลายคนอาจจะถามว่า เราจะ “ลงทุนในหุ้น ดาวโจนส์” (Dow Jones) ได้ยังไงโดยตรง คำตอบคือ เราไม่สามารถซื้อ “ดัชนี” ดาวโจนส์ (Dow Jones) ได้โดยตรงเหมือนซื้อหุ้นตัวเดียวครับ การลงทุนในดัชนีนี้ทำได้หลายวิธี เช่น ผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ที่อ้างอิงดัชนี, ผ่านกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นทั้ง 30 ตัวตามสัดส่วน หรือจะเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีเอาเองก็ได้ครับ สำหรับนักลงทุนในประเทศไทย ก็มีช่องทางที่สะดวกในการลงทุนในดัชนี ดาวโจนส์ (Dow Jones) ผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในดัชนีนี้ ตัวอย่างเช่น กองทุน SCBDJI(A) และ SCBDJI(SSF) ที่มีให้ลงทุนผ่านแพลตฟอร์มอย่าง FinVest เป็นต้นครับ การลงทุนผ่านกองทุนรวมถือเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงตลาดหุ้นต่างประเทศอย่าง “หุ้น ดาวโจนส์” (Dow Jones) ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในต่างประเทศเองทั้งหมด แต่ก็ต้องศึกษาเงื่อนไขและค่าธรรมเนียมของกองทุนนั้นๆ ด้วยนะครับ
จะเห็นได้ว่า การเคลื่อนไหวของ “หุ้น ดาวโจนส์” (Dow Jones) และตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้น ซับซ้อนกว่าแค่ดูตัวเลขขึ้นลงรายวัน มันเชื่อมโยงกับหลายปัจจัย ทั้งนโยบายการค้าของรัฐบาล ตัวเลขเศรษฐกิจที่สะท้อนภาพรวม เงินเฟ้อ ตลาดแรงงาน ไปจนถึงผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในดัชนี ความไม่แน่นอนในประเด็นการค้า โดยเฉพาะกับจีน ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาใกล้ชิด เพราะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดได้ตลอดเวลา ในขณะที่การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก็เป็นอีกจุดโฟกัสสำคัญของนักลงทุนทั่วโลก ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแต่ละตัวจะเป็นเหมือนเบาะแสให้เราคาดการณ์ทิศทางของเฟดได้ดีขึ้น
สำหรับนักลงทุน ไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มต้น หรืออยู่ในตลาดมานาน การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมากครับ มันช่วยให้เรามีมุมมองที่รอบด้านมากขึ้น ไม่ใช่แค่เทรดตามข่าวรายวัน การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตัวดัชนีเอง อย่างวิธีคำนวณหรือหุ้นที่เป็นส่วนประกอบ ก็เป็นพื้นฐานที่ดีครับ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง “ความเสี่ยง” ครับ
⚠️ การลงทุนในตราสารทางการเงิน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตลาดต่างประเทศอย่าง “หุ้น ดาวโจนส์” (Dow Jones) มีความเสี่ยงสูงมาก อาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ ราคาหุ้นและดัชนีมีความผันผวนสูง ตามปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ การใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีเลเวอเรจ (อย่าง Futures) ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนมหาศาลได้อีก ควรตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องให้ดี ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรพิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุน ประสบการณ์ และระดับการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองอย่างรอบคอบ และถ้าไม่แน่ใจ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่เชื่อถือได้เสมอครับ ข้อมูลที่นำเสนอเป็นเพียงการวิเคราะห์และสรุปจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง อาจไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์ และไม่ควรถือเป็นคำแนะนำในการซื้อขายนะครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุน และอย่าลืมว่า “ความรู้” คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในตลาดการเงินที่ผันผวนแบบนี้ครับ