สวัสดีครับนักลงทุนและผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ช่วงนี้กระแสญี่ปุ่นมาแรงเหลือเกิน ทั้งเรื่องเที่ยว เรื่องอาหาร แล้วถ้าเป็นเรื่องการเงินล่ะครับ? เคยได้ยินชื่อ ‘มิ เค อิ’ ไหมครับ? ไม่ใช่ชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังนะครับ แต่มันคือดัชนีสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นแดนซามูไรเลยทีเดียว วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินอาสามาเล่าให้ฟังแบบย่อยง่าย สไตล์คุยกับเพื่อนข้างบ้านครับ
หลายคนอาจจะงงๆ ว่า ‘มิ เค อิ’ นี่คืออะไรกันแน่? อธิบายง่ายๆ มันก็คือ “สมุดพก” หรือ “รายงานผลการเรียน” ของ 225 บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange – TSE) ครับ ดัชนีนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า Nikkei 225 หรือชื่ออย่างเป็นทางการกว่านั้นคือ Nikkei Stock Average ซึ่งคำนวณและเผยแพร่โดย นิฮอน เคไซ ชิมบุน (Nikkei Inc.) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์การเงินชื่อดังของญี่ปุ่นนั่นเอง เขาคำนวณกันมานานมากๆ แล้วนะครับ ย้อนไปได้ถึงปี พ.ศ. 2492-2493 เลยทีเดียว ถือเป็นดัชนีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและได้รับการยอมรับไปทั่วโลกเลยครับ ที่น่าสนใจคือวิธีการคำนวณของเขานั้นเป็นแบบ “ถ่วงน้ำหนักด้วยราคา” (Price-weighted index) คือหุ้นตัวไหนมีราคาสูง หุ้นตัวนั้นก็จะส่งผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่า พูดง่ายๆ คือ ตัวใหญ่ราคาแรงก็มีอิทธิพลเยอะหน่อยครับ ดัชนีนี้ใช้สกุลเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ในการคำนวณและแสดงค่า และเขาอัปเดตตัวเลขกันแบบ Real-time เกือบตลอดเวลาในช่วงตลาดเปิดเลยครับ เห็นไหมครับว่า ‘มิ เค อิ 225’ นี่ไม่ใช่ธรรมดาๆ เลย เป็นเหมือนหัวใจหลักของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

ทีนี้มาดูเรื่องราวการเดินทางของ ‘มิ เค อิ’ กันบ้างครับ ในระยะสั้นๆ เนี่ย เขาค่อนข้างมีสีสันเลยนะครับ ขึ้นๆ ลงๆ สลับกันไปมาในรอบสัปดาห์ เหมือนรถไฟเหาะตีลังกาขนาดย่อมๆ เลย อย่างข้อมูลล่าสุดในช่วงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ดัชนีก็ปรับเพิ่มขึ้น 1.28% มาอยู่ที่ 39,461.47 เยน แต่ก่อนหน้านั้นก็มีวันที่ปรับลดลงบ้าง สลับกับวันขึ้นบ้าง ถือว่ามีความผันผวนตามสไตล์ตลาดหุ้นทั่วโลกครับ แต่ถ้าเรามองภาพให้กว้างขึ้น มองในระยะยาวตั้งแต่ต้นปี หรือมองย้อนไปหลายๆ ปี จะเห็นว่า ‘มิ เค อิ 225’ มีแนวโน้มที่เป็นบวกชัดเจนเลยนะครับ อย่างข้อมูลช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (Year-to-Date – YTD) พุ่งไปกว่า 22% หรือผลตอบแทนในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาก็บวกไปถึง 88% กว่าๆ เลยทีเดียว! ตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่า แม้จะมีสะดุดบ้างในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ‘มิ เค อิ’ ก็เติบโตได้อย่างน่าทึ่งครับ
ส่วนเรื่องที่เป็นประวัติศาสตร์และหลายคนฮือฮามากๆ ก็คือเรื่อง “สถิติสูงสุด” ครับ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2532 ช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็น ‘ฟองสบู่’ ดัชนี ‘มิ เค อิ 225’ เคยทำจุดสูงสุดไว้ที่ประมาณ 38,957 เยน ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนจำได้แม่น แต่รู้ไหมครับว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมานี่เอง ดัชนี ‘มิ เค อิ’ ได้ทำลายสถิติเก่าลงไปแล้วครับ โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 42,426.77 เยน (ข้อมูลวันที่ 11 กรกฎาคม 2567) ซึ่งสูงกว่าสถิติเดิมสมัยฟองสบู่ไปอย่างมีนัยสำคัญเลยครับ เหมือนภูเขาที่เคยคิดว่าสูงที่สุดแล้ว วันนี้มีลูกใหม่ที่สูงกว่าเดิมอีก! ส่วนจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ก็เคยลงไปถึง 85.25 เยนเมื่อปี 2493 และลงไปต่ำสุดหลังยุคฟองสบู่ที่ 6,994.90 เยนเมื่อปี 2551 ครับ การทำสถิติสูงสุดใหม่ได้นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทญี่ปุ่นชั้นนำในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

แล้วอะไรบ้างล่ะที่ประกอบขึ้นเป็น ‘มิ เค อิ 225’ และอะไรที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีนี้บ้าง? อย่างที่บอกไปครับว่ามันคือหุ้นของ 225 บริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ซึ่งประกอบด้วยหุ้นหลากหลายอุตสาหกรรมมากๆ มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีมูลค่าตลาดแสนล้านเยน ไปจนถึงบริษัทที่มีราคาหุ้นต่อหน่วยสูงลิ่วหลักหมื่นเยน (แม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่เท่า) ตัวอย่างบริษัทที่เป็นองค์ประกอบก็เช่น บริษัทรถยนต์ บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ และสถาบันการเงินใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีผลประกอบการที่แตกต่างกันไป อย่างปีที่ผ่านมาก็มีหุ้นตัวหนึ่งที่พุ่งแรงกว่า 250% ในขณะที่อีกตัวกลับร่วงลงไปเกือบ 70% นี่แหละครับคือสีสันของตลาดหุ้น!
นอกจากปัจจัยภายในของบริษัทเหล่านี้แล้ว ‘มิ เค อิ’ ก็ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกเยอะแยะไปหมดเลยครับ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจมหภาคระดับโลก เช่น นโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan) เองก็มีผลต่อตลาดมากๆ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ อย่างเงินเฟ้อสหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งเรื่องภาษีนำเข้า (Tariffs) และข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศต่างๆ ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดโลกไม่น้อยเลยครับ จะเห็นว่า ‘มิ เค อิ 225’ ไม่ได้ยืนอยู่โดดเดี่ยวในโลกนี้ แต่เชื่อมโยงกับตลาดหุ้นหลักอื่นๆ ทั่วโลกอย่าง ดาวโจนส์ (Dow Jones), S&P 500, แนสแด็ก (Nasdaq), ตลาดในยุโรป (Europe) และวอลล์สตรีท (Wall Street) อย่างแยกไม่ออกเลยครับ ข่าวสารการเมืองระหว่างประเทศเองก็มีส่วนครับ เช่น ผลการเลือกตั้งในสหราชอาณาจักร (UK) หรือข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ก็ล้วนมีอิทธิพลที่ส่งผ่านมาถึง ‘มิ เค อิ’ ได้ครับ
ส่วนในมุมของการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือการดูกราฟนั้น จากข้อมูลบางแหล่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็มีเครื่องมือชี้วัดหลายตัวที่ส่งสัญญาณไปในทิศทาง “หมี” (Bearish) หรือบ่งชี้ถึงแรงขายนะครับ แต่ต้องบอกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นมีความซับซี่ซ้อนและขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่ใช้ด้วย ไม่ได้มีสัญญาณเดียวที่บอกทุกอย่างได้ชัดเจนเสมอไปครับ

สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้เลยก็คือ เราไม่สามารถซื้อ “ดัชนี มิ เค อิ 225” ได้โดยตรงนะครับ เหมือนเราซื้อ “เกรดเฉลี่ย” ของนักเรียนไม่ได้ เราต้องซื้อหุ้นของบริษัทที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี หรือลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่ “อ้างอิง” กับดัชนีนี้ครับ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศอย่าง SGX หรือ OSE หรือในรูปแบบ CFD (ซีเอฟดี) ซึ่งเป็นการเทรดส่วนต่างราคา หรือจะลงทุนผ่านกองทุนรวม (Funds) ที่มีนโยบายไปลงทุนในหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของ ‘มิ เค อิ 225’ ก็ได้ครับ แพลตฟอร์มระหว่างประเทศบางแห่ง เช่น Moneta Markets ก็มีเครื่องมือเหล่านี้ให้ซื้อขายครับ แต่ย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นการลงทุนในอนุพันธ์หรือกองทุน ไม่ใช่การซื้อตัวดัชนีโดยตรงครับ
สรุปแล้ว ‘มิ เค อิ 225’ คือดัชนีสำคัญที่เป็นเหมือนหน้าตาของตลาดหุ้นญี่ปุ่น เป็นตัวแทนของบริษัทชั้นนำ 225 แห่ง มีประวัติยาวนาน เติบโตได้อย่างน่าทึ่งในระยะยาวและเพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่สูงกว่ายุคฟองสบู่ไปแล้ว แต่ก็มีความผันผวนในระยะสั้น และได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก รวมถึงความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอื่นๆ ครับ
ถ้าคุณสนใจ ‘มิ เค อิ’ หรือตลาดหุ้นญี่ปุ่น สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ศึกษาให้เข้าใจก่อนว่ากำลังจะลงทุนในอะไร และเครื่องมือที่คุณจะใช้ลงทุน (เช่น Futures, CFD, กองทุน) มีลักษณะอย่างไร มีความเสี่ยงแค่ไหน เพราะการลงทุนในเครื่องมือเหล่านี้มีความเสี่ยงแตกต่างจากการซื้อหุ้นโดยตรงครับ
⚠️ คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ราคาอนุพันธ์ต่างๆ อาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่แม่นยำเท่าราคาจริง โปรดอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินส่วนบุคคลของคุณก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ บทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลและมุมมองเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนใดๆ ทั้งสิ้นครับ