เจาะลึก น เค อิ: โอกาสและความเสี่ยงที่คนไทยต้องรู้!

เรื่องของ น เค อิ ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นที่คนไทยควรรู้ (หรือไม่รู้?)

สวัสดีครับเพื่อนๆ นักอ่านที่รักการเงินและอาจจะชอบเที่ยวญี่ปุ่นด้วย!

ช่วงนี้เวลาเปิดข่าวเศรษฐกิจ หรือไถฟีดโซเชียลเกี่ยวกับการลงทุน เรามักจะเห็นคำว่า “น เค อิ” โผล่มาให้เห็นบ่อยๆ ใช่ไหมครับ? บางทีก็บวกพุ่งเอาๆ ทำจุดสูงสุดในรอบ 34 ปีบ้าง 33 ปีบ้าง บางทีก็ติดลบตามข่าวร้ายทั่วโลก เอ๊ะ แล้วเจ้า “น เค อิ” นี่มันคืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงสำคัญ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนไทยแบบเราๆ ด้วยล่ะ?

ลองนึกภาพตามนะครับ เวลาเราไปเที่ยวญี่ปุ่น นอกจากซากุระ ฟูจิซัง อาหารอร่อยๆ แล้ว เบื้องหลังความแข็งแกร่งของประเทศนี้ก็มาจากเศรษฐกิจ และหัวใจสำคัญที่สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ดีที่สุดตัวหนึ่งก็คือ ดัชนี น เค อิ 225 (Nikkei 225) นี่แหละครับ มันไม่ใช่แค่ตัวเลขลอยๆ นะ แต่มันคือ “มาตรวัด” สุขภาพของบริษัทใหญ่ๆ ชั้นนำ 225 แห่งในญี่ปุ่น ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) คิดง่ายๆ ก็เหมือนเราดูดัชนี SET ของไทยนี่แหละ แต่เป็นเวอร์ชันญี่ปุ่นนั่นเอง

ดัชนีตัวนี้มีประวัติยาวนานมากๆ นะครับ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 (1950) โดย บริษัท นิเคอิ (Nikkei Inc.) ซึ่งเป็นสื่อด้านธุรกิจชื่อดังของญี่ปุ่น แล้วเขาก็คำนวณย้อนหลังไปถึงปี 2492 (1949) โน่นเลย แสดงว่าอยู่คู่กับตลาดหุ้นญี่ปุ่นมาทุกยุคทุกสมัย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ทั้งช่วงที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองสุดๆ จนเกิดฟองสบู่หุ้นและอสังหาริมทรัพย์แตกในปี 2532 (1989) ซึ่งตอนนั้น ดัชนี น เค อิ ก็เคยทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ไว้เกือบ 39,000 จุด ก่อนจะดิ่งลงมาอย่างหนัก และผ่านช่วงวิกฤติการเงินโลกในปี 2551 (2008) ที่ทำให้ดัชนีลงไปแตะจุดต่ำสุดแถวๆ 7,000 จุด

แต่ที่น่าสนใจมากๆ คือ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา น เค อิ ได้กลับมาผงาดอีกครั้งครับ อย่างเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 (2023) ก็เพิ่งทำจุดสูงสุดในรอบ 33 ปีไป และล่าสุดวันที่ 5 มีนาคม 2567 (2024) ก็ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 34 ปี ทะลุ 40,000 จุดไปแล้วด้วยซ้ำ! การที่ดัชนีซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทชั้นนำกลับมาทำจุดสูงสุดในรอบหลายสิบปีแบบนี้ มันสะท้อนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพื้นฐานหรือความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่กำลังกลับมาแข็งแกร่งขึ้นรึเปล่า? อันนี้เป็นประเด็นที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกกำลังจับตามองเลยครับ

แล้วไอ้ 225 บริษัทที่ว่านี่ มีใครบ้างล่ะ? ดัชนี น เค อิ เนี่ย จะมีการปรับรายชื่อบริษัททุกๆ ปี ปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าดัชนียังคงสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้อย่างถูกต้อง โดยเขาจะเลือกบริษัทที่มีสภาพคล่องสูงๆ และกระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีหุ้นจาก 36 กลุ่มอุตสาหกรรมรวมกัน แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) มีน้ำหนักในดัชนีสูงที่สุดเลยนะครับ ประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของดัชนีทั้งหมดเลยทีเดียว (ราว 48.89%) ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะญี่ปุ่นเองก็มีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกอยู่เยอะ เช่น โตเกียว อิเล็กตรอน (Tokyo Electron) หรือ ฟาสต์ รีเทลลิ่ง (Fast Retailing) เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าดังที่เราคุ้นเคย หรือแม้แต่ ซอฟต์แบงก์ (Softbank) บริษัทด้านการลงทุนและเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ก็เป็นหุ้นใน น เค อิ ด้วย

วิธีการคำนวณของ น เค อิ ก็ค่อนข้างเฉพาะตัวครับ มันเป็นดัชนีแบบ “ราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก” (Price-weighted index) ไม่ใช่แบบมูลค่าตลาดเหมือนดัชนีหุ้นไทย นั่นหมายความว่า หุ้นตัวไหนที่มีราคาต่อหุ้นสูงกว่า ก็จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่า แม้ว่าบริษัทนั้นอาจจะไม่ได้มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในบรรดา 225 ตัวก็ตาม เขาจะคำนวณราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของทั้ง 225 หุ้นทุกๆ 5 วินาที เพื่อให้เราเห็นการเคลื่อนไหวของดัชนีแบบเกือบจะเรียลไทม์เลยครับ

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญที่ว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนักลงทุนไทยล่ะ?” แม้ น เค อิ จะเป็นดัชนีของญี่ปุ่น แต่การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นใหญ่ๆ ทั่วโลกมักจะส่งผลกระทบถึงกันเสมอครับ เวลา น เค อิ ขยับแรงๆ ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง มันก็ส่งสัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเอเชีย หรือแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ข่าวในประเทศเราก็มักจะรายงานถึงการเคลื่อนไหวของ น เค อิ ควบคู่ไปกับดัชนีอื่นๆ ในเอเชียอยู่แล้ว บางครั้งเราจะเห็นข่าวว่าตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ติดลบ แต่ น เค อิ กลับสวนทางบวกขึ้นไปก็มีให้เห็นครับ มันสะท้อนว่าบางครั้ง ตลาดญี่ปุ่นก็มีปัจจัยขับเคลื่อนที่แตกต่างออกไป

สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจอยากจะเข้าไป “ลงทุน” หรือ “เก็งกำไร” กับการเคลื่อนไหวของ น เค อิ โดยตรง ก็มีช่องทางอยู่บ้างครับ ไม่ได้หมายความว่าต้องบินไปเปิดพอร์ตหุ้นที่ญี่ปุ่นนะ แต่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเอง ก็มีเครื่องมือทางการเงินที่อ้างอิงกับ น เค อิ เสนอขายอยู่ครับ ตัวที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ “ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า DW (Derivative Warrants) ครับ บางบริษัทผู้ออก DW ในไทย เช่น เจ. พี. มอร์แกน (J.P. Morgan) เขาก็มีการออก DW ที่อ้างอิงกับดัชนี น เค อิ 225 ให้เราสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่งเลย การซื้อขาย DW นี่สนุกตรงที่มี “อัตราทด” (Leverage) สูง คือถ้า น เค อิ ขยับขึ้นหรือลงนิดเดียว ราคา DW ของเราอาจจะขยับแรงกว่าหลายเท่าตัว (ในข้อมูลบอกว่าอัตราทดประมาณ 5-20 เท่า) แต่ก็ต้องระวังนะครับ เพราะมันมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมากๆ เช่นกัน

นอกจาก DW แล้ว ถ้าอยากลงทุนใน น เค อิ แบบเน้นติดตามผลตอบแทนตามดัชนี (Index Tracking) ในระยะยาว อาจจะลองดูพวกกองทุนรวมประเภท Passive Management ที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนี น เค อิ 225 ครับ แบบนี้จะเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำกว่าการเทรด DW เยอะ แต่ผลตอบแทนก็จะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของดัชนีเป็นหลัก ไม่ได้มีอัตราทดหวือหวาเหมือน DW ครับ

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะกระโดดเข้าไปซื้อขายอะไรก็ตามที่อ้างอิงกับ น เค อิ หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ นะครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราในฐานะคอลัมนิสต์การเงินอยากจะย้ำเตือนมากๆ คือ “ความเสี่ยง” ครับ การซื้อขายตราสารทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น DW หรือแม้แต่พวกเงินดิจิตอล ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินข่าวว่าราคาขึ้นแรงๆ เนี่ย มีความเสี่ยงสูงมากๆ นะครับ สูงถึงขั้นที่อาจจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อขายโดยใช้ “มาร์จิน” (Margin) หรือเงินกู้ยืมเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อ ยิ่งทำให้ความเสี่ยงทวีคูณขึ้นไปอีกครับ

ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนสูงมาก และอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกมากๆ ครับ แค่ข่าวเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงินของประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างโรคระบาดหรือสงคราม ก็สามารถทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงได้ทันที นอกจากนี้ ข้อมูลราคาที่เราเห็นตามแอปฯ หรือเว็บไซต์ต่างๆ บางครั้งก็อาจจะไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์ 100% และควรใช้เป็นแค่ “ราคาชี้นำ” เท่านั้น ไม่ควรนำมาเป็นฐานในการตัดสินใจซื้อขายจริงโดยทันทีโดยไม่ศึกษาข้อมูลเชิงลึกให้รอบคอบนะครับ

สรุปแล้ว น เค อิ เป็นดัชนีหุ้นที่สำคัญมากๆ ของญี่ปุ่น เป็นเหมือนกระจกสะท้อนสุขภาพบริษัทชั้นนำและเศรษฐกิจแดนปลาดิบ มีประวัติยาวนานและเพิ่งทำสถิติใหม่ๆ ที่น่าจับตาสำหรับนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงเราๆ คนไทยที่อาจจะเข้าถึงการลงทุนใน น เค อิ ได้ทางอ้อมผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ที่มีเสนอขายในตลาดหุ้นไทย แต่จำไว้เสมอครับว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจนำเงินเก็บที่หามาอย่างยากลำบากไปลงทุนกับ น เค อิ หรือสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม โปรดศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของสินทรัพย์นั้นๆ และประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ก่อนเสมอนะครับ

ลงทุนด้วยความเข้าใจและระมัดระวัง แล้วคุณจะมีโอกาสอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืนครับ!

Leave a Reply