เจาะลึก นิ เค อ: ทำไมต้องจับตา?

ว่าด้วยเรื่อง นิ เค อ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจแดนอาทิตย์อุทัยที่นักลงทุนทั่วโลกจับตา

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่านที่สนใจเรื่องราวการเงินการลงทุนแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนข้างบ้าน วันนี้ผมอยากชวนมาทำความรู้จักกับดัชนีสำคัญตัวหนึ่งที่เรียกว่า นิ เค อ 225 หรือที่เรียกกันติดปากว่า นิ เค อ ครับ หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ ตามข่าวเศรษฐกิจ หรือเวลาดูตัวเลขตลาดหุ้นทั่วโลก แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร ทำไมถึงสำคัญ แล้วเกี่ยวอะไรกับเราบ้าง

ไอ้เจ้า นิ เค อ 225 เนี่ย ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือน “สมุดพกรายงานผลการเรียน” ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั่นแหละครับ เป็นดัชนีหลักที่สะท้อนภาพรวมของบริษัทใหญ่ๆ จำนวน 225 แห่งที่จดทะเบียนอยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange หรือ TSE) คิดค้นและคำนวณโดยบริษัทชื่อดังด้านสื่อการเงินของญี่ปุ่นอย่าง นิฮอน เคไซ ชิมบุน (Nihon Keizai Shimbun) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “นิ เค อ” นี่แหละครับ ความพิเศษของมันคือเป็นดัชนีแบบถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น ไม่ใช่ตามมูลค่าตลาด หมายความว่า หุ้นของบริษัทไหนที่มีราคาต่อหุ้นสูงๆ ก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนี นิ เค อ มากกว่าบริษัทที่มีราคาหุ้นต่ำกว่า แม้ว่าบริษัทนั้นอาจจะใหญ่มากๆ ก็ตามครับ

ถามว่า นิ เค อ มีความเป็นมายังไง? ต้องบอกว่าเก่าแก่มากๆ ครับ เริ่มคำนวณมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ย้อนหลังไปถึงปี ค.ศ. 1949 โน่นเลยทีเดียว ทำให้มันกลายเป็นตัวชี้วัดที่อยู่คู่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน และได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุนทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นนะครับ ยังมีการนำไปใช้เป็นดัชนีอ้างอิงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ มากมาย ที่น่าสนใจคือตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 เป็นต้นมา ข้อมูลของ นิ เค อ ถูกอัปเดตให้เห็นการเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ทุกๆ 5 วินาที ทำให้เราเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เร็วขึ้นมาก

แล้วสถานการณ์ของ นิ เค อ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? ตัวเลขราคาของ นิ เค อ เป็นอะไรที่น่าติดตามครับ เพราะมันผันผวนอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากๆ ตัวเลขที่เราเห็นตามแหล่งข่าวต่างๆ เช่น จาก Yahoo Finance หรือ Investing.com ก็จะแตกต่างกันไปตามเวลาและแหล่งข้อมูล บางทีเห็น 32,000 เยน บางทีเห็น 37,000 เยน หรืออาจจะทะลุไปถึง 40,000 เยนก็มีมาแล้วครับ

ที่ฮือฮากันเมื่อไม่นานมานี้คือ นิ เค อ ได้ทำสถิติราคาอ้างอิงสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 ที่ระดับ 42,426.77 เยน ซึ่งสูงกว่าสถิติเดิมที่เคยทำไว้เมื่อช่วงฟองสบู่เศรษฐกิจญี่ปุ่นแตกในปี ค.ศ. 1989 ที่ 38,957.44 เยน โน่นเลยครับ นึกดูสิครับ ต้องใช้เวลาเกือบ 35 ปี กว่าจะกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงวัฏจักรของตลาดหุ้นได้ดีเลยนะครับว่ามันมีทั้งขึ้นทั้งลงจริงๆ ขณะที่ราคาเสนอซื้อขายต่ำที่สุดที่เคยมีมาของ นิ เค อ ย้อนกลับไปไกลมากๆ คือวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1950 อยู่ที่แค่ 85.25 เยนเท่านั้นเองครับ เห็นตัวเลขนี้แล้วก็น่าทึ่งในความเติบโตของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเหมือนกัน

ถ้าลองมาดูผลตอบแทนของ นิ เค อ ในช่วงเวลาต่างๆ ก็จะเห็นความหลากหลายครับ บางช่วงผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD หรือ Year-to-Date) อาจจะบวกไปกว่า 22% เลยทีเดียว แต่บางช่วงก็อาจจะติดลบได้เหมือนกัน หรือผลตอบแทนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาก็มีทั้งช่วงที่บวกแรงๆ กว่า 22% และช่วงที่ติดลบ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเราดูข้อมูลในช่วงเวลาไหนครับ ช่วงราคาซื้อขายในรอบ 52 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็กว้างมากๆ ประมาณ 30,500 เยน ไปจนถึงกว่า 42,400 เยนเลยทีเดียว ความผันผวนนี่แหละคือนิยามของตลาดหุ้นเลยครับ

แล้วอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนให้ นิ เค อ ขึ้นลงล่ะ? ปัจจัยมีทั้งจากภายในและภายนอกญี่ปุ่นเลยครับ อย่างแรกเลยคือแนวโน้มของตลาดหุ้นใหญ่ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ดาวโจนส์ (Dow Jones) S&P 500 หรือ แนสแด็ก (Nasdaq) รวมถึงตลาดในยุโรปและเอเชียอื่นๆ ด้วย เพราะโลกการเงินมันเชื่อมถึงกันหมดครับ ถ้าตลาดใหญ่ๆ คึกคัก นิ เค อ ก็มักจะคึกคักตามไปด้วย

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคในญี่ปุ่นเอง เช่น อัตราเงินเฟ้อ หรือนโยบายทางการเงินของ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan หรือ BOJ) ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปไหม หรือจะเริ่มปรับขึ้นเมื่อไหร่ เรื่องพวกนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจของนักลงทุนครับ ข่าวสารเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทที่เป็นส่วนประกอบของ นิ เค อ ก็สำคัญ อย่างเช่น ผลประกอบการของ SoftBank ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่มีหุ้นอยู่ใน นิ เค อ ก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากผลการดำเนินงานของบริษัทลูกอย่าง Arm หรือแนวโน้มในอุตสาหกรรมชิปทั่วโลก ก็เป็นตัวแปรที่ต้องจับตา นอกจากนี้ เหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ อย่างมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หรือยุโรป ก็สามารถส่งผลกระทบต่อหุ้นบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศได้เช่นกัน

สำหรับนักลงทุนที่ชอบดูข้อมูลเชิงลึก การวิเคราะห์ทางเทคนิคของ นิ เค อ ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่น่าสนใจครับ เป็นการพยายามคาดการณ์แนวโน้มราคาจากการดูรูปแบบของกราฟและตัวเลขทางสถิติต่างๆ เช่น ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Oscillators หรือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) ซึ่งสัญญาณที่ได้ก็มีความหลากหลายครับ บางช่วงอาจจะบอกว่าตลาดเป็นกลางๆ ยังไม่ไปไหน บางช่วงอาจจะส่งสัญญาณให้ “ขาย” หรือ “มีแรงขาย” แต่บางช่วงก็อาจจะบอกให้ “ซื้อ” หรือ “มีแรงซื้อ” ก็ได้ครับ บางครั้งสัญญาณก็รุนแรงไปถึงขั้น “ขายรุนแรง” (Strong Sell) หรือ “เข้าสู่ภาวะหมีมากๆ” (Very Bearish) ก็มีครับ การดูระดับแนวรับแนวต้านสำคัญ (Pivot Levels) ก็เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์นี้ เพื่อหาจุดที่ราคาอาจจะกลับตัวหรือพักตัว

แล้วหุ้น 225 ตัวที่ประกอบกันเป็น นิ เค อ มีอะไรบ้าง? จริงๆ แล้วก็เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่เราคุ้นชื่อกันดีหลายแห่งครับ ตั้งแต่บริษัทรถยนต์รายใหญ่อย่าง Toyota (รหัสหุ้น TSE:7203) บริษัทอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Sony (รหัสหุ้น TSE:6758) หรือกลุ่มธนาคารใหญ่ๆ อย่าง Mitsubishi UFJ Financial Group (รหัสหุ้น TSE:8306) ที่มีมูลค่าตลาดสูงๆ ไปจนถึงบริษัทที่มีราคาหุ้นต่อหน่วยสูงๆ อย่าง Keyence (รหัสหุ้น TSE:6861) หรือ Tokyo Electron (รหัสหุ้น TSE:6273) เป็นต้นครับ แน่นอนว่าในแต่ละปี ก็จะมีหุ้นบางตัวที่ผลงานโดดเด่น ขึ้นแรงมากๆ อย่างเช่น ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา มีหุ้นตัวหนึ่งที่ขึ้นไปกว่า 250% เลยทีเดียว (อย่างหุ้นรหัส TSE:7013) แต่ก็มีบางตัวที่ลงแรงมากๆ เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้นครับ

สำหรับคนที่อยากลงทุนตามทิศทางของ นิ เค อ โดยตรง แต่อย่างที่บอกไปว่าเราไม่สามารถไปซื้อตัว “ดัชนี” นี้ได้โดยตรงเหมือนซื้อหุ้นรายตัวครับ แต่ก็มีทางเลือกอื่น เช่น การซื้อขาย สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ที่อิงกับดัชนี นิ เค อ ซึ่งมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สำคัญๆ ทั่วโลก เช่น ตลาดสิงคโปร์ ตลาดโอซาก้า หรือ ตลาดชิคาโก วิธีนี้ทำให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงของดัชนีโดยไม่ต้องซื้อหุ้นจริง แต่อย่าลืมว่าการใช้ Futures มีเรื่องของ “เลเวอเรจ” (Leverage) เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหมายถึงการใช้เงินลงทุนจำนวนน้อยเพื่อควบคุมสินทรัพย์มูลค่ามาก ทำให้กำไร/ขาดทุนถูกขยายขึ้นตามไปด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีกองทุนรวม หรือ ETF (Exchange Traded Fund) ที่ลงทุนตามดัชนี นิ เค อ ให้เลือก หรือจะเลือกศึกษาและลงทุนในหุ้นรายตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีนี้ก็ได้ครับ แพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศอย่างบางแห่ง เช่น Moneta Markets ก็เป็นอีกทางเลือกที่มักมีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้บริการแก่ นักลงทุนครับ

ข้อควรรู้อีกอย่างคือ ข้อมูลและการนำชื่อดัชนี นิ เค อ ไปใช้ มีเรื่องของลิขสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องนะครับ ใครที่จะนำไปใช้เชิงพาณิชย์ หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่อิงกับดัชนีนี้ จะต้องได้รับอนุญาตจากบริษัท นิกเคอิ ก่อนครับ

สรุปง่ายๆ เลยนะครับ นิ เค อ 225 คือดัชนีหัวใจหลักของตลาดหุ้นญี่ปุ่น เป็นตัวแทนของ 225 บริษัทใหญ่ใน ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ที่นักลงทุนทั่วโลกใช้เป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งและแนวโน้มของเศรษฐกิจญี่ปุ่น มีประวัติยาวนาน มีการคำนวณที่ชัดเจน และมีการนำไปใช้ประโยชน์หลากหลาย ทั้งในเชิงข้อมูลและการลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ราคาของ นิ เค อ มีความผันผวนตามปัจจัยมากมาย ทั้งภายในประเทศญี่ปุ่นเอง เช่น นโยบายการเงิน เงินเฟ้อ และผลประกอบการบริษัท รวมถึงปัจจัยภายนอก เช่น แนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกและข่าวสารเศรษฐกิจโลก

หากคุณผู้อ่านสนใจที่จะติดตามหรือลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ นิ เค อ สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของดัชนีนี้ รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบ อย่าเพิ่งกระโดดเข้าไปลงทุนเพียงเพราะเห็นว่าราคาขึ้นแรง หรือมีข่าวดีนะครับ

⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน การเคลื่อนไหวของราคาในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต และมีโอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ ควรลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสียไปเท่านั้น และหากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจครับ

Leave a Reply