เจาะลึก “นิ เก อิ” ขึ้น-ลง เพราะอะไร? มือใหม่ต้องรู้!

เพื่อนๆ ที่ติดตามข่าวสารการเงิน หรือแค่ไถฟีดผ่านๆ อาจจะเคยเห็นคำว่า “นิ เก อิ” แว้บๆ ตามหน้าจอ หรือตามพาดหัวข่าวบ่อยๆ ใช่ไหมครับ? บางวันก็เห็นพุ่งแรง บางวันก็ร่วงเอาๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เจ้าดัชนี นิ เก อิ ตัวนี้มันคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมมันถึงได้ขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุดหย่อน แถมยังส่งผลไปถึงตลาดหุ้นบ้านเราหรือตลาดอื่นๆ ในเอเชียได้อีก วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์ที่ชอบเอาเรื่องการเงินยากๆ มาเล่าให้ฟังสบายๆ จะขอพาไปแกะกล่องทำความเข้าใจดัชนี นิ เก อิ ตัวนี้กันแบบบ้านๆ เลยครับ

เอาแบบพื้นฐานสุดๆ เลยนะ ดัชนี นิ เก อิ ที่เราพูดถึงกันเนี่ย ชื่อเต็มๆ เขาคือ “ดัชนีนิกเกอิ 225” (Nikkei 225) มันก็เหมือนเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นญี่ปุ่นครับ ไม่ได้รวมหุ้นทุกตัวในญี่ปุ่นนะ แต่เลือกเอาหุ้นตัวท็อปๆ ชั้นนำ 225 บริษัท ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange – TSE) มาคำนวณเฉลี่ยๆ กัน โดยคนที่รับผิดชอบคำนวณก็คือ หนังสือพิมพ์ นิฮอน เคไซ ชิมบุน ของญี่ปุ่นเขานั่นแหละ คิดง่ายๆ มันก็คือดัชนีชี้วัดสุขภาพของบริษัทใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นนั่นเอง

ช่วงที่ผ่านมา เจ้าดัชนี นิ เก อิ นี่อาการก็ขึ้นๆ ลงๆ ตามประสาตลาดหุ้นแหละครับ อย่างเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประมาณวันที่ 18 มิ.ย. เนี่ย ดัชนี นิ เก อิ เขาเพิ่งจะปิดบวกติดต่อกันมา 3 วัน แถมยังขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 4 เดือนได้อีกแน่ะ! ที่ขึ้นไปได้ก็เพราะสองแรงหลักๆ ครับ หนึ่งคือ หุ้นกลุ่มส่งออก (Export Stocks) ได้อานิสงส์จากเงินเยนที่อ่อนค่าลง เดี๋ยวผมจะอธิบายต่อว่าเงินเยนอ่อนมันเกี่ยวอะไร สองคือ หุ้นกลุ่มเกม อย่างนินเทนโด (Nintendo) ที่ดูเหมือนจะมีข่าวดีเกี่ยวกับยอดขายเครื่องเล่นเกมรุ่นใหม่ (อาจจะเป็น “Switch 2” ตามที่มีการคาดการณ์) ทำให้หุ้นกลุ่มนี้คึกคักขึ้นมา ท่ามกลางบรรยากาศโลกที่ยังมีความกังวลเรื่องสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านนะ ซึ่งปกติเรื่องแบบนี้มักจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกออกอาการกล้าๆ กลัวๆ กัน

แต่พอมาถึงวันที่ 19 มิ.ย. เท่านั้นแหละ เจ้า นิ เก อิ ก็เปิดตลาดมาแบบติดลบเลยครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเหมือนกันครับ เมื่อมันขึ้นมาเยอะๆ หลายๆ วันติด ก็ต้องมีคนอยากขายทำกำไร (Profit Taking) บ้างแหละ แถมยังโดนแรงกดดันจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า “วอลล์สตรีท” (Wall Street) โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) ที่วันก่อนหน้าเขาปิดลบไป ตลาดหุ้นทั่วโลกมักจะมองหน้ามองหลังพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯ เสมอครับ

จะว่าไปแล้ว นิ เก อิ นี่ก็เคยขึ้นไปสร้างประวัติศาสตร์ทำราคาอ้างอิงสูงสุดที่ 42,426.77 เยน เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2024 ด้วยนะ ซึ่งถ้าดูผลงานในช่วงหลังสุดเนี่ย ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (นับถึงวันที่ข้อมูลอ้างอิง) นิ เก อิ ลดลงไป -1.56% แต่พอมองยาวขึ้นมาหน่อยในรอบเดือนกลับบวกได้ 6.82% แต่ถ้าวัดกันในรอบปีที่ผ่านมาก็ยังติดลบอยู่ -4.23% ครับ แสดงให้เห็นว่ามันมีความผันผวนอยู่ในทุกช่วงเวลาจริงๆ

เคยมีช่วงที่ นิ เก อิ ปิดบวกได้เพราะแรงซื้อหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Stocks) หรือชิปต่างๆ ซึ่งกลุ่มนี้ก็เป็นที่ต้องการทั่วโลก หรือบางช่วงก็ปิดลบเพราะเงินเยนแข็งค่า (เงินเยนแข็งค่า) หรือมีความกังวลเรื่องปัญหาการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็มี

คราวนี้มาดูปัจจัยที่ส่งผลต่อ นิ เก อิ แบบเจาะลึกขึ้นอีกนิดนะครับ ปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ เลยคือเรื่องของ **”ค่าเงินเยน”** ครับ คุณเคยสังเกตไหมเวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วรู้สึกว่าของมันดูถูกลงกว่าเมื่อก่อน… นั่นแหละครับคือปรากฏการณ์ “เงินเยนอ่อนค่า” (Weak Yen) ลองนึกภาพแบบนี้ครับ บริษัทญี่ปุ่นอย่างผู้ผลิตรถยนต์ หรือบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เขาผลิตสินค้าในญี่ปุ่นแล้วส่งไปขายที่อเมริกาหรือยุโรป พอเงินเยนอ่อนค่าลง เงินดอลลาร์หรือเงินยูโรที่เขาได้จากการขายสินค้า พอแลกกลับมาเป็นเงินเยนก็จะยิ่งได้จำนวนเยนเยอะขึ้น ทำให้กำไรของบริษัทส่งออกเหล่านี้พุ่งกระฉูด หุ้นก็เลยน่าสนใจขึ้น ราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ดัชนี นิ เก อิ ซึ่งประกอบด้วยหุ้นเหล่านี้ปรับตัวขึ้นตามไปด้วยครับ ในทางกลับกัน ถ้า “เงินเยนแข็งค่า” (Strong Yen) ก็จะเกิดผลตรงข้าม กำไรของบริษัทส่งออกจะลดลง หุ้นก็โดนเทขาย นิ เก อิ ก็ปรับตัวลงนั่นเองครับ นี่คือความสัมพันธ์ที่ต้องจับตาดูใกล้ชิดเลย

นอกจากค่าเงินเยนแล้ว หุ้นรายตัวหรือหุ้นเป็นกลุ่มก็มีผล อย่างที่บอกไปว่าหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์นี่สำคัญมาก ถ้ากลุ่มนี้ไปได้ดี ตลาดก็มักจะคึกคัก หรืออย่างข่าวดีของนินเทนโดเกี่ยวกับยอดขายเกม ก็เป็นปัจจัยบวกเฉพาะตัวที่ส่งผลต่อหุ้นนินเทนโดโดยตรง และมีน้ำหนักพอที่จะดันดัชนีได้บ้างเหมือนกันครับ หรืออย่างตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) ที่ช่วงหนึ่งปิดบวกได้หลายวันติด ก็เพราะแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มไอทีและเทคโนโลยี (IT/Technology Stocks) อย่างซัมซุง (Samsung Electronics), Naver, Kakao, NHN ซึ่งก็สะท้อนว่าแต่ละตลาดก็มีตัวขับเคลื่อนหลักของตัวเองอยู่

อีกปัจจัยใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ **”สถานการณ์การเมืองและภูมิรัฐศาสตร์”** ครับ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน หรือปัญหาเรื่องเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เคยกดดันตลาด หรือสงครามรัสเซีย-ยูเครน พวกนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก ตลาดหุ้นต่างๆ รวมถึง นิ เก อิ ก็ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ในทางกลับกัน ถ้ามีข่าวดีอย่างการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ดูเหมือนจะมีความคืบหน้า ก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุนในตลาดเอเชียได้เหมือนกันครับ แม้แต่เรื่องนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็มีคนมองว่าจะส่งผลต่อบางอุตสาหกรรมได้

นโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกันครับ นักลงทุนทั่วโลกจะจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “เฟด” (Fed) ว่าจะมีทิศทางอัตราดอกเบี้ยอย่างไร เพราะส่งผลต่อสภาพคล่องและการลงทุนไปทั่วโลก ส่วนธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่เคยลดอัตราดอกเบี้ย LPR (Loan Prime Rate – อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดี) ก็เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นในเอเชีย ซึ่งแน่นอนว่าบรรยากาศที่ดีในเอเชียก็อาจจะส่งผลมาถึง นิ เก อิ ได้บ้างครับ นอกจากนี้ก็มีการประเมินท่าทีของธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียและออสเตรเลียด้วย

เพื่อนๆ บางคนอาจจะสงสัยว่า “แล้วเราจะลงทุนใน นิ เก อิ ได้โดยตรงเลยไหม เหมือนซื้อหุ้นบริษัทเดียว?” คำตอบคือ เราไม่สามารถซื้อ “ดัชนี” นิ เก อิ ได้โดยตรงครับ ดัชนีมันเป็นแค่ตัวเลขที่คำนวณขึ้นมาเพื่อสะท้อนภาพรวม แต่เราสามารถลงทุนในตราสารที่อิงกับดัชนีนี้ได้ เช่น ดัชนี Japan 225 Futures ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อิงกับดัชนี นิ เก อิ หรือจะเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวม (Mutual Funds) ที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนี นิ เก อิ ก็ได้ หรือจะเจาะลึกไปลงทุนในหุ้นรายตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีทั้ง 225 ตัวเลยก็ได้ครับ ซึ่งหุ้นที่อยู่ใน นิ เก อิ ก็มีตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง TSE:7203, TSE:6758, TSE:8306 ไปจนถึงหุ้นที่มีราคาสูงลิบอย่าง TSE:6861, TSE:6273, TSE:9983 เป็นต้น ซึ่งในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาก็มีทั้งตัวที่พุ่งแรงสุดๆ อย่าง TSE:7013 ที่บวกไปกว่า 254.32% และตัวที่อ่อนแอที่สุดอย่าง TSE:6920 ที่ติดลบไปถึง -67.82% เห็นไหมครับว่าขนาดหุ้นในดัชนีเดียวกัน ผลงานยังแตกต่างกันลิบลับเลย

สำหรับใครที่สนใจลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่อิงกับดัชนีนี้ ก็มีแพลตฟอร์มหลายแห่งให้เลือกดูเงื่อนไขกัน อย่างเช่น Moneta Markets เป็นต้น ซึ่งเขาก็มีเครื่องมือและเงื่อนไขการซื้อขายที่หลากหลายให้เราศึกษาและเลือกใช้ครับ

สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่า การขึ้นลงของดัชนี นิ เก อิ นั้นไม่ใช่เรื่องของตัวเลขลอยๆ แต่มันมีปัจจัยมากมาย ทั้งเรื่องเงินๆ ทองๆ อย่างค่าเงินเยน, กำไรบริษัท, นโยบายการเงิน ไปจนถึงเรื่องการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องเต็มไปหมด การทำความเข้าใจภาพรวมเหล่านี้จะช่วยให้เรามองตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ชัดเจนขึ้น และอาจจะนำไปปรับใช้กับการลงทุนของเราได้ครับ

สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความผันผวนแบบนี้ ไม่ว่าจะ นิ เก อิ หรือตลาดไหนก็ตาม ก็คือ **การศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ** ทำความเข้าใจว่าเรากำลังจะลงทุนในอะไร ปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบ และที่สำคัญคือ **การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเอง** ครับ

⚠️ หากสภาพคล่องทางการเงินของคุณไม่ได้สูงมาก หรือยังเป็นมือใหม่ในตลาด แนะนำให้ประเมินตัวเองและศึกษาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วนมากๆ ก่อนตัดสินใจเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างตลาดหุ้นนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ

Leave a Reply