
เคยสงสัยไหมว่า ไอ้ตัวเลขที่วิ่งขึ้นวิ่งลงบนหน้าจอข่าว หรือที่นักลงทุนชอบพูดถึงกันบ่อยๆ อย่าง “ดาวโจนส์” เนี่ย มันคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมมันถึงมีอิทธิพลกับตลาดหุ้นทั่วโลก แม้กระทั่งตลาดหุ้นบ้านเราเอง? วันนี้เราจะมาคุ้ยแคะแกะเกาเรื่องราวของ ดัชนีดาวโจนส์ หรือชื่อเต็มๆ ที่ฟังดูขลังหน่อยว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) กันแบบง่ายๆ สไตล์คนคุยกันนะ
ดาวโจนส์คืออะไร? มันสำคัญแค่ไหนในวันที่เราพูดถึง ดาวโจนท์วันนี้?
ลองนึกภาพว่า ดาวโจนส์ ก็เหมือนตัวแทนนักเรียนดีเด่น 30 คน จากโรงเรียนมัธยมที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โรงเรียนนี้ชื่อ “ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE)” และ “แนสแด็ก (Nasdaq)” นักเรียน 30 คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบริษัทใหญ่ยักษ์ระดับประเทศของอเมริกา ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจมากๆ เช่น บริษัทที่ทำซอฟต์แวร์ดังๆ บริษัทขายของยักษ์ใหญ่ หรือบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ (อย่างที่ข้อมูลบอกว่ามี NYSE:GS, NYSE:UNH, NASDAQ:MSFT ที่ราคาสูงๆ เป็นส่วนประกอบ) การที่ดัชนีดาวโจนส์ขึ้นหรือลง ก็เหมือนการบอกว่า นักเรียนดีเด่นส่วนใหญ่ในโรงเรียนนี้กำลังไปได้สวย (ดัชนีขึ้น) หรือกำลังมีปัญหากันอยู่ (ดัชนีลง)
นี่เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมเวลาเราดูข่าวการเงิน เราถึงต้องฟังว่า “ดาวโจนท์วันนี้” เป็นยังไง เพราะมันสะท้อนภาพรวมสุขภาพของตลาดหุ้นอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในโลกนี่แหละ
**สถานการณ์ ดาวโจนท์วันนี้ และที่ผ่านมาเป็นไงบ้าง?**
ข้อมูลที่เราได้มาล่าสุด บอกว่า ดัชนีดาวโจนส์ มีค่าอยู่ที่ประมาณ 40,326.77 จุด ปรับลดลงไปเล็กน้อยแค่ -0.29% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา นี่ก็เป็นตัวเลขที่บอกสภาพตลาดในช่วงสั้นๆ แต่ถ้ามองย้อนไปยาวกว่านั้น ดัชนีตัวนี้มีทั้งช่วงที่พุ่งแรง และช่วงที่ร่วงหนักๆ สลับกันไปมาตลอดเลยนะ
อย่างเมื่อไม่นานมานี้ (ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568) ดัชนีดาวโจนส์เคยอยู่ที่ 42,270.07 จุด ขยับขึ้น 0.13% ในวันนั้น แสดงให้เห็นว่าในแต่ละวัน ตัวเลขมันก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอด เวลาเราเห็นตัวเลขพวกนี้ อย่าเพิ่งตกใจหรือดีใจสุดขีด เพราะมันเป็นแค่ภาพถ่ายเหตุการณ์ในเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง

ถ้าดูภาพกว้างกว่านั้น ดัชนี ดาวโจนส์ เคยทำราคาสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 45,073.63 จุด (เมื่อ 4 ธันวาคม 2567) ในขณะที่ราคาย้อนหลังไปเป็นร้อยปี ก็เคยลงไปต่ำมากๆ แค่ 28.48 จุด (เมื่อ 8 สิงหาคม 2439) อันนี้เอามาเล่าให้ฟัง เพื่อจะบอกว่า ตลาดหุ้นมันก็เป็นแบบนี้แหละ มีขึ้นมีลงเป็นวัฏจักร ตามปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามาในแต่ละช่วงเวลา อย่างในช่วงปีที่ผ่านมา (ข้อมูลล่าสุด) ดัชนีดาวโจนส์ ก็ยังปรับตัวขึ้นมาได้ถึง 5.19% แสดงว่าภาพรวมในปีที่ผ่านมายังถือว่าโอเคอยู่ แม้ว่าบางช่วงจะมีการปรับฐานลงไปบ้างก็ตาม
ส่วนประกอบในดัชนีก็มีการเปลี่ยนแปลงนะ อย่างข้อมูลปีล่าสุด หุ้นที่ปรับตัวขึ้นดีที่สุดคือ Walmart (NYSE:WMT) ขึ้นไปเกือบ 60% ในขณะที่หุ้นที่ปรับตัวลงแย่ที่สุดคือ Nike (NYSE:NKE) ลงไปเกือบ 40% นี่ก็เป็นตัวอย่างว่า แม้ภาพรวมดัชนีจะบวก แต่หุ้นแต่ละตัวในนั้นก็มีชะตากรรมของตัวเอง
**ทำไม ดาวโจนส์ ถึงได้ขึ้นๆ ลงๆ แรงขนาดนี้? ปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพล?**
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่า อะไรที่ทำให้ ดัชนีดาวโจนส์ หรือ ดาวโจนท์วันนี้ เปลี่ยนแปลงไป? มันเหมือนการเล่นชักเย่อระหว่าง “แรงซื้อ” กับ “แรงขาย” ที่ได้รับอิทธิพลจากหลายๆ อย่างมากๆ เลย
1. **เรื่องการค้าขายระหว่างประเทศ (Trade Wars & Tariffs):** จำช่วงที่คุณโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีได้ไหม? ช่วงนั้นมีข่าวเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหนักมาก การขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Tariffs) ไปมานี่แหละ ตัวร้ายเลย เพราะมันทำให้บริษัทอเมริกาที่ต้องนำเข้าของจากจีน หรือบริษัทจีนที่ขายของในอเมริกาปั่นป่วน ยิ่งข่าวออกมาว่าอาจจะขึ้นภาษี หรือการเจรจาการค้าไม่คืบหน้า ดัชนีดาวโจนส์ก็มีสิทธิ์ร่วงกราวได้ง่ายๆ แต่ถ้ามีข่าวดีว่าตกลงกันได้ (ข้อตกลงการค้า) หรือยกเลิกภาษีชั่วคราว ตลาดก็จะเฮกันขึ้นไป
2. **นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ:** ไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่ความคิดเห็นหรือการกระทำของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกี่ยวกับเศรษฐกิจหรือแม้แต่เรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็มีผลนะ อย่างที่คุณทรัมป์เคยแสดงความไม่พอใจกับการทำงานของ เฟด หรือกังวลเรื่องภาษีของตัวเองนี่แหละ ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้เหมือนกัน
3. **นโยบายการเงินของธนาคารกลาง (Monetary Policy):** นี่ก็เป็นอีกตัวละครสำคัญ คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า เฟด (Fed) การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือมาตรการอย่างการอัดฉีดเงินเข้าระบบ (มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE) มีผลโดยตรงต่อสภาพคล่องในตลาด ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ย หรือลดการอัดฉีดเงิน ตลาดมักจะกังวล เพราะเงินจะหายากขึ้น ต้นทุนจะสูงขึ้น หุ้นก็มีสิทธิ์ปรับฐานลง แต่ถ้าเฟดลดดอกเบี้ย หรืออัดฉีดเงิน ตลาดมักจะดีใจ เพราะเงินหาง่ายขึ้น ลงทุนได้คล่องขึ้น
4. **ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ (Economic Data):** เศรษฐกิจอเมริกาเป็นยังไง ก็สะท้อนไปที่ผลประกอบการบริษัท แล้วก็สะท้อนไปที่ดัชนีดาวโจนส์นี่แหละครับ ตัวเลขดีๆ เช่น คนตกงานน้อยลง (ผู้ขอรับสวัสดิการผู้ว่างงานลดลง), ยอดขายดี (ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนสูงกว่าคาด), หรือคนจับจ่ายใช้สอยเยอะ (ดัชนีรายจ่ายเพื่อการบริโภคสูงขึ้น) พวกนี้เป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้น แต่ถ้าตัวเลขออกมาไม่ดี เช่น คนไม่มั่นใจในการใช้จ่าย (ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง) หรือดูแล้วเงินเฟ้อจะสูงขึ้น (การคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) ตลาดก็จะกังวล
5. **สถานการณ์ทั่วโลก:** แม้จะเป็นดัชนีของอเมริกา แต่สถานการณ์ในประเทศอื่นๆ ก็มีผลนะ อย่างตัวเลขการค้าของจีนที่ดีขึ้น หรือผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีที่แข็งแกร่ง บางทีก็ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กได้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในเอเชียอย่างฮั่งเส็ง หรือนิกเกอิ ก็มักจะเคลื่อนไหวตามทิศทางของดาวโจนส์ด้วย เหมือนเป็นพี่น้องกัน (หรือบางทีก็เป็นน้องที่คอยดูพี่ใหญ่อยู่)
6. **ความเชื่อมั่นนักลงทุน:** อันนี้เป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ ข้อมูลจากสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) บอกว่า นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมั่นใจทิศทางตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้า แม้ว่าตลาดจะดูดีขึ้นมาบ้าง แต่ความกังวลก็ยังอยู่กับนักลงทุน
7. **เรื่องจุกจิกอื่นๆ:** บางทีก็มีเรื่องที่ฟังดูไม่น่าเกี่ยว แต่ก็เกี่ยวได้นะ อย่างการที่สหรัฐฯ ดำเนินการเพิกถอนหุ้นบริษัทจีนออกจากตลาด หรือหน่วยงานกำกับดูแลของจีนห้ามบริษัทเล็กๆ เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE) ด้วยเหตุผลป้องกันการปั่นหุ้น หรือแม้แต่วันหยุดทำการของตลาดหุ้นนิวยอร์กเอง (เช่น วันประธานาธิบดี) พวกนี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ ดาวโจนส์ หรือตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
**แล้วถ้าอยากลงทุนตาม ดาวโจนส์ ต้องทำยังไง?**
เราไม่สามารถไปซื้อ “ดัชนีดาวโจนส์” ได้โดยตรงนะครับ มันเป็นแค่ตัวเลขที่ใช้ชี้วัดเฉยๆ แต่ถ้าเราอยากลงทุนที่อ้างอิงกับ ดัชนี ดาวโจนส์ เราก็ทำได้หลายแบบ เช่น
* **ลงทุนใน ดัชนีดาวโจนส์ Futures (ฟิวเจอร์ส):** อันนี้จะซับซ้อนหน่อย เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อิงกับดัชนี เหมาะกับคนที่เข้าใจตลาดมากๆ
* **ลงทุนในกองทุนที่อิงกับดัชนีดาวโจนส์:** อันนี้ง่ายขึ้นมาหน่อย มีกองทุนหลายแบบที่นโยบายลงทุนตามดัชนีดาวโจนส์โดยตรง หรือลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบ (Components) ในสัดส่วนใกล้เคียงกับดัชนี
* **ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบ (Components) โดยตรง:** เราอาจจะเลือกซื้อหุ้นรายตัว 30 ตัวที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีเลยก็ได้ แต่ก็ต้องใช้เงินเยอะและติดตามข้อมูลเยอะหน่อย
ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยงนะครับ
**สรุปและข้อควรระวัง: มอง ดาวโจนท์วันนี้ ต้องมองให้รอบด้าน**
จะเห็นได้ว่า ดัชนีดาวโจนส์ ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดาๆ แต่เป็นเหมือนมาตรวัดสุขภาพเศรษฐกิจอเมริกา ที่ได้รับอิทธิพลจากหลากหลายปัจจัยสุดๆ ทั้งนโยบายรัฐบาล, การค้าระหว่างประเทศ, การตัดสินใจของธนาคารกลาง, ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ไปจนถึงอารมณ์และความเชื่อมั่นของนักลงทุน

สำหรับคนที่ติดตาม “ดาวโจนท์วันนี้” หรือสนใจลงทุนในตลาดต่างประเทศที่อ้างอิงกับ ดัชนีดาวโจนส์ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องเข้าใจก่อนว่าตลาดมีความผันผวนสูงมาก (อย่างที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ก็ยังต้องจับตา เพราะกลัวกระทบตลาดตัวเอง) อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆ หรือตัดสินใจลงทุนตามกระแสโดยที่ยังไม่ศึกษาให้ดี
**⚠️ คำเตือนสำคัญ:** การซื้อขายตราสารทางการเงินต่างๆ รวมถึงหุ้น และเงินดิจิทัล มีความเสี่ยง “สูงมาก” คุณอาจสูญเสียเงินลงทุน “บางส่วนหรือทั้งหมด” ได้เลยนะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับการลงทุนประเภทนี้ เพราะฉะนั้น ก่อนจะตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม โดยเฉพาะที่อ้างอิงกับ ดัชนีดาวโจนส์ ที่ความผันผวนสูงแบบนี้
* **ต้องตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ** ที่เกี่ยวข้องให้ดี
* **พิจารณาวัตถุประสงค์ในการลงทุนของตัวเอง** ว่าเราคาดหวังอะไร ยอมรับการขาดทุนได้แค่ไหน
* **สำรวจระดับประสบการณ์และความรู้ของตัวเอง** ในเรื่องการลงทุนให้ถ่องแท้
* **ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน** ที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจเสมอ
จำไว้ว่า ข้อมูลและราคาที่คุณเห็น ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่างๆ อาจไม่ใช่ราคาเรียลไทม์เป๊ะๆ และเป็นเพียงราคาชี้นำเท่านั้น ไม่ควรนำมาใช้ในการตัดสินใจซื้อขายโดยตรงถ้าคุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และที่สำคัญ Fusion Media (แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ของเรา) และผู้ให้ข้อมูลต่างๆ ไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการสูญเสียใดๆ ที่เกิดจากการซื้อขาย หรือการพึ่งพาข้อมูลเหล่านี้
การเข้าใจที่มาที่ไปของ ดาวโจนส์ ปัจจัยที่ขับเคลื่อนมัน และตระหนักถึงความเสี่ยงอย่างรอบด้าน จะช่วยให้เรามองตลาดการเงินด้วยสายตาที่เฉียบคมขึ้น และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีสติมากขึ้นครับ