
เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมคะว่า เวลาข่าวพูดถึงตลาดหุ้นจีน ตัวเลขไหนที่เราควรดู หรือถ้าจะลงทุนในจีน ต้องเริ่มตรงไหน? วันนี้จะชวนมาทำความรู้จักกับ “ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต” หรือ SSE Composite Index (000001) กันค่ะ นี่ถือเป็นเหมือน “บารอมิเตอร์” ตัวสำคัญที่ใช้วัดสุขภาพของตลาดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้เลยทีเดียว
ลองนึกภาพตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เหมือนโรงเรียนใหญ่ๆ ที่รวมนักเรียนเก่งๆ (บริษัทจดทะเบียน) ไว้เต็มไปหมด ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ก็เหมือนคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนในโรงเรียนนี้เลยค่ะ ดัชนีนี้เขาเริ่มคำนวณมาตั้งแต่ปี 1991 นานมากๆ แล้วนะ โดยจะคำนวณจากมูลค่าราคาตลาดของหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ถ่วงน้ำหนักตามขนาดของบริษัท คือ บริษัทใหญ่ๆ ก็จะมีผลต่อคะแนนเฉลี่ย (ดัชนี) มากหน่อยนั่นเอง
แล้วช่วงนี้ “คะแนนเฉลี่ย” หรือ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต เป็นยังไงบ้าง? จากข้อมูลล่าสุด ตัวเลข ณ ช่วงเวลาหนึ่งอยู่ที่ประมาณ 3,347 จุดค่ะ ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีการปรับลดลงเล็กน้อยประมาณ -0.47% ถ้าดูภาพกว้างขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังติดลบอยู่หน่อยที่ -0.87% แต่ถ้ามองรายเดือน ดัชนีนี้กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ +1.93% และที่น่าสนใจคือ ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ให้ผลตอบแทนเป็นบวกทีเดียวค่ะ ประมาณ +7.85% แต่ก็อย่าลืมนะคะว่า ตัวเลขเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาค่ะ ถ้าดูประวัติศาสตร์ย้อนหลัง ดัชนีนี้เคยพุ่งสูงสุดไปถึงกว่า 6,124 จุดเลยนะ เมื่อตอนปลายปี 2007 ในขณะที่จุดต่ำสุดที่เคยทำไว้คือ 95 จุด เมื่อนานมาแล้วตั้งแต่ปี 1990

แล้วทำไมบางวัน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ถึงลง บางวันถึงขึ้นล่ะ? ตลาดหุ้นก็เหมือนคนค่ะ มีขึ้นมีลงตามอารมณ์และข่าวสาร ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่กดดัน ตลาดหุ้นจีน และ ตลาดหุ้นเอเชียโดยรวมช่วงนี้ก็คือ “มวยคู่เอก” ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เรื่องการค้าและความไม่แน่นอนต่างๆ ค่ะ บางทีมีข่าวดีเรื่องเจรจา ตลาดก็คึกคักขึ้นมาหน่อย อย่างช่วงที่มีคำสั่งศาลสหรัฐฯ ชะลอมาตรการภาษีบางอย่าง ตลาดหุ้นจีนก็เคยเปิดบวกตอบรับข่าวนั้นมาแล้ว แต่พอมีข่าวตึงเครียด หรือเจรจาไม่คืบหน้า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ก็โดนกดดันให้ปิดลบหรือเปิดลบอยู่บ่อยๆ ค่ะ
นอกจากเรื่องการค้าแล้ว ตอนนี้มีเรื่องร้อนๆ จาก ตะวันออกกลาง ด้วยนะ เหตุการณ์ตึงเครียดระหว่าง อิสราเอล กับ อิหร่าน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ก็สร้างความกังวลให้กับ ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ด้วยค่ะ ลองคิดดูสิคะว่า เหตุการณ์ไกลๆ แบบนี้ เกี่ยวอะไรกับหุ้นในจีน? เพราะว่าตลาดการเงินทั่วโลกมันเชื่อมโยงถึงกันหมดค่ะ เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในภูมิภาคไหน นักลงทุนก็มักจะพากันหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้ตลาดหุ้นหลายๆ แห่งปรับตัวลงตามไปด้วยนั่นเองค่ะ
อีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบก็คือ เศรษฐกิจพี่ใหญ่ สหรัฐฯ ค่ะ ข้อมูลที่ออกมาช่วงก่อนหน้านี้ บอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกของปี 2568 มีสัญญาณหดตัว ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับตลาดต่างๆ ในเอเชีย เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกไม่น้อยค่ะ นักลงทุนเลยต้องคอยจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนเองด้วย อย่างเช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เพื่อดูทิศทางเศรษฐกิจภายในประเทศจีนเองด้วยค่ะ
ถ้าเราอ่านเรื่อง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต แล้วรู้สึกสนใจ อยากจะ “ร่วมวง” ลงทุนในตลาดจีนบ้าง ทำยังไงดี? สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลยคือ เราไม่สามารถซื้อ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ได้โดยตรงนะคะ มันเหมือนเราซื้อ “ตะกร้า” ที่รวมหุ้นพวกนี้ไว้มากกว่า วิธีการลงทุนที่นักลงทุนทั่วไป หรือนักลงทุนต่างชาติอย่างเราๆ ทำได้ ก็มีหลายแบบค่ะ เช่น การซื้อขาย ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต Futures ซึ่งเป็นการเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของดัชนีในอนาคต หรือจะเป็นการลงทุนผ่าน กองทุนรวม ที่ไปลงทุนในหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต หรือลงทุนในหุ้นรายตัวที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ใน ดัชนีนี้เลยค่ะ

สำหรับนักลงทุนไทย ส่วนใหญ่ก็จะไปลงทุนผ่าน “หุ้นจีน” ที่ไปจดทะเบียนในตลาดอื่นที่ต่างชาติซื้อขายได้ง่ายกว่า เช่น ไปลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ ฮ่องกง (เรียกว่า H-Share) หรือหุ้นจีนที่ไปจดทะเบียนในตลาด สหรัฐฯ (เรียกว่า ADRs) ซึ่งเราสามารถซื้อขายหุ้นเหล่านี้ผ่าน โบรกเกอร์ หรือ ธนาคาร ในประเทศไทยได้เลยค่ะ บริษัทใหญ่ๆ ที่อยู่ใน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ก็มีหลายแห่งที่เราคุ้นชื่อ เช่น บริษัท ปิโตรไชน่า (PetroChina) หรือบริษัทประกันยักษ์ใหญ่อย่าง ไชน่า ไลฟ์ อินชัวรันส์ (China Life Insurance) ค่ะ
⚠️ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำให้ขึ้นใจ คือ **การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ** ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตราสารทางการเงิน หรือแม้แต่ เงินดิจิตอล การลงทุนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงมาก รวมถึงความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้ ราคาของ ตราสารทางการเงิน ต่างๆ มีความผันผวนสูงมาก และอาจเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยภายนอกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ กฎหมาย หรือแม้แต่การเมืองในประเทศและต่างประเทศอย่างที่เราเห็นผลกระทบจากเรื่องการค้าจีน-สหรัฐฯ หรือสถานการณ์ในตะวันออกกลางค่ะ การใช้ มาร์จิน ในการซื้อขายยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้นไปอีก
นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยง ต้นทุนต่างๆ และศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะคะ และหากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ข้อมูลราคาหรือข้อมูลอื่นๆ ที่เราได้รับจากแหล่งต่างๆ อาจไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์ และไม่มีใครสามารถรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการพึ่งพาข้อมูลเหล่านั้นได้ค่ะ
สรุปง่ายๆ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต เป็นเหมือน “บารอมิเตอร์” วัดสุขภาพ ตลาดหุ้นจีน ที่น่าจับตาค่ะ แต่ก็ต้องเข้าใจว่า ตลาดนี้มีความซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศมากมาย ก่อนตัดสินใจลงทุนใน ตลาดหุ้นจีน หรือ ตราสารที่อ้างอิง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทำความเข้าใจวิธีการลงทุน ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาความเหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของตัวเองนะคะ การลงทุนที่ชาญฉลาด เริ่มต้นจากการเข้าใจและจัดการความเสี่ยงค่ะ