เจาะลึก **กองทุนรวมs&p 500** : เศรษฐกิจผันผวน, ลงทุนอย่างไรให้รอด?

สวัสดีครับ/ค่ะ นักลงทุนทุกท่านที่ติดตามคอลัมน์นี้ ช่วงนี้ใครที่ตามข่าวต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา น่าจะรู้สึกว่ามีข้อมูลถาโถมเข้ามาเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่บางทีก็ดูดี บางทีก็ดูไม่ค่อยดี นโยบายการค้าที่น่าปวดหัว หรือแม้แต่เรื่องการเมืองภายในของเขาเอง แต่ท่ามกลางกระแสเหล่านั้น ตลาดหุ้นอเมริกาก็ยังคงเป็นเป้าหมายหลักที่นักลงทุนทั่วโลกจับตา รวมถึงนักลงทุนในบ้านเราด้วย แล้วถ้าจะลงทุนในตลาดใหญ่ๆ ของเขาแบบรวมๆ อย่างเช่นหุ้น 500 ตัวแรกของอเมริกาผ่าน กองทุนรวมs&p 500 เราต้องดูอะไรบ้างในสถานการณ์แบบนี้ วันนี้ผม/ดิฉันจะมาเล่าให้ฟังแบบย่อยง่ายๆ ครับ/ค่ะ

ลองนึกภาพตามนะครับ/คะ ช่วงที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจอเมริกาดูเหมือนจะส่งสัญญาณที่สับสนนิดหน่อย อย่างรายงานตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนล่าสุดที่ออกมาเมื่อเดือนก่อนนู้นนะ (จากรายงาน ADP National Employment Report) โชว์ว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นแค่ประมาณ 37,000 ตำแหน่งเท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี และน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์เขาคาดกันไว้ตั้งเยอะ (ที่คาดคือประมาณ 114,000 ตำแหน่ง) แถมยังน้อยกว่าเดือนก่อนหน้าอีกด้วย (เดือนก่อนเพิ่ม 60,000 ตำแหน่ง) ดูเผินๆ เหมือนเศรษฐกิจจะเริ่มชะลอตัวลงแล้วหรือเปล่า?

แต่พอไปดูอีกรายงานหนึ่ง (รายงาน JOLTS) กลับเห็นภาพอีกแบบ คือตลาดแรงงานยังดูแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้มาก มันก็เลยเป็นภาพที่ดูขัดแย้งกันนิดๆ เหมือนกับว่าเศรษฐกิจอเมริกาตอนนี้กำลังเดินสองก้าว ก้าวหนึ่งดูจะช้าลง อีกก้าวก็ยังดูแข็งแรงอยู่ ตรงนี้เองที่ทำให้นักลงทุนต้องคิดหนักว่าจะตีความไปทางไหนดี

นอกจากเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยการเมืองและนโยบายก็มีผลไม่น้อยเลยนะครับ/คะ อย่างเรื่องดอกเบี้ยเนี่ย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ออกมาส่งเสียงไม่ค่อยพอใจประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (ซึ่งก็คือคุณเจอโรม พาวเวลล์) แล้วก็เรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปกติประธานาธิบดีจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องนี้ตรงๆ เท่าไหร่ การที่เขาพูดแบบนี้ก็เป็นเหมือนแรงกดดันทางอ้อมให้ตลาดต้องจับตาดูท่าทีของธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด ว่าจะมีการส่งสัญญาณอะไรเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ไหม

อีกเรื่องที่กระทบโดยตรงก็คือนโยบายการค้า อย่างเช่นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมที่ขึ้นไปถึง 50% แล้ว มีผลบังคับใช้กับหลายประเทศ ยกเว้นแค่สหราชอาณาจักรเท่านั้นเอง เรื่องนี้กระทบบางธุรกิจโดยตรงเลยนะครับ/คะ ยกตัวอย่างบริษัทค้าปลีกอย่าง Dollar Tree เขาก็ออกมาคาดการณ์เลยว่าไตรมาส 2 เนี่ย ผลประกอบการจะแย่ลงเพราะเรื่องภาษีนี่แหละ แต่ก็ยังมองว่าครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวได้ ส่วนการเจรจาการค้ากับจีน (ระหว่างสหรัฐฯ และจีน) ก็ดูเหมือนจะยังไม่มีความหวังมากนัก หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาบอกว่าคุยกับประธานาธิบดีจีน (คุณสี จิ้นผิง) แล้วรู้สึกว่าทำข้อตกลงกันได้ยาก

ทีนี้มาดูที่ตลาดหุ้นกันบ้างครับ/ค่ะ ท่ามกลางข่าวสารพวกนี้ ตลาดหุ้นอเมริกาก็ดูเหมือนจะพยายามยืนอยู่ในแดนบวกมาหลายวันแล้วนะ เหมือนกำลังตอบรับสัญญาณที่ว่าถึงแม้จะมีเรื่องภาษีมากวนใจ แต่ตลาดแรงงานก็ยังดูไม่แย่ซะทีเดียว

ไฮไลท์เด่นๆ ของตลาดช่วงนี้ก็ต้องยกให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเลยครับ/ค่ะ โดยเฉพาะหุ้น Nvidia (Nvidia) ที่ราคาพุ่งเอาๆ จนล่าสุด (วันที่ 29 พฤษภาคม 2567) แซง Microsoft (Microsoft) ขึ้นไปเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลกไปแล้ว มูลค่าปาเข้าไปกว่า 3.44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว ส่วน Microsoft ก็ตามมาติดๆ ที่ 3.44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหมือนกัน คือเห็นได้ชัดว่าหุ้นกลุ่มเทคฯ ตัวใหญ่ๆ เหล่านี้ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดครับ/ค่ะ

แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะโดนผลกระทบจากนโยบายเท่ากันนะครับ/คะ อย่างหุ้น Apple (Apple) เนี่ย นักวิเคราะห์เขาก็มองว่าเรื่องภาษีไม่ได้เปลี่ยนมุมมองพื้นฐานต่อหุ้นตัวนี้มากนัก เพราะจุดแข็งของ Apple ยังอยู่ที่ตัวผลิตภัณฑ์และการแข่งขันที่ค่อนข้างได้เปรียบตลาดอยู่

พอมาถึงเรื่องค่าเงินบ้าง เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตอนนี้ก็อ่อนค่าลงมาเล็กน้อย หลังจากที่เมื่อวานแข็งค่าขึ้นไปหน่อย คู่เงินยูโรกับดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เรื่องค่าเงินนี่สำคัญกับนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศโดยตรงเลยนะ โดยเฉพาะคนที่ลงทุนในกองทุนที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

แล้วถ้าเราอยากลงทุนในหุ้นใหญ่ๆ 500 ตัวของอเมริกาอย่างดัชนี S&P 500 ที่เราพูดถึงล่ะ? สำหรับนักลงทุนไทย วิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดก็คือการลงทุนผ่าน กองทุนรวมs&p 500 ที่มีอยู่หลายกองในบ้านเราครับ/ค่ะ กองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นประเภท “กองทุนฟีดเดอร์” (Feeder Fund) คือเอาเงินเราไปลงทุนต่อในกองทุนขนาดใหญ่ที่อเมริกาโดยตรงเลย ซึ่งกองทุนหลักพวกนี้เขาก็จะไปลงทุนในหุ้น 500 ตัวตามดัชนี S&P 500 เป๊ะๆ เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีมากที่สุด

ยกตัวอย่างกองทุนที่ลงทุนตามดัชนี S&P 500 ในบ้านเราก็มีหลายค่าย เช่น SCBS&P500 ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งกองนี้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน “ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด” เลย ถ้าใครกังวลเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วจะทำให้ผลตอบแทนในรูปเงินบาทลดลง กองนี้ก็น่าสนใจ หรืออีกกองคือ KKP US500-UH-E ของ บลจ.เกียรตินาคินภัทร กองนี้ลงทุนใน iShares Core S&P 500 ETF ที่อเมริกาเหมือนกัน แต่กองนี้ “ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน” นะครับ/คะ แปลว่าถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเยอะๆ อาจจะกระทบผลตอบแทนของเราได้ แต่ข้อดีของกองนี้คือมีโปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมการจัดการตลอดอายุการลงทุน (แต่ยังมีค่าธรรมเนียมซื้อขายอยู่นิดหน่อยนะ คือ 0.2675% ทั้งตอนซื้อและขายคืน) อีกตัวอย่างก็ B-USPASSIVE ของ บลจ.บัวหลวง ซึ่งก็ลงทุนใน SPDR S&P 500 ETF Trust และ “ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน” เช่นกัน และกองนี้ไม่มีนโยบายจ่ายปันผลด้วยครับ/ค่ะ

เห็นไหมครับ/คะว่าแค่ลงทุนในดัชนีเดียวกันอย่าง S&P 500 แต่รายละเอียดของแต่ละ กองทุนรวมs&p 500 ก็แตกต่างกันแล้วนะ สิ่งที่เราต้องดูนอกจากนโยบายการลงทุนหลักๆ คือ
1. นโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: อันนี้สำคัญมาก ถ้ากองทุนไม่ป้องกัน เราก็ต้องรับความผันผวนของค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เอง
2. ค่าธรรมเนียม: แต่ละกองทุนคิดค่าธรรมเนียมไม่เหมือนกัน บางกองอาจฟรีค่าจัดการ แต่มีค่าซื้อขาย บางกองคิดทั้งคู่ การดูค่าธรรมเนียมรวมทั้งหมด (Expense Ratio) ก็เป็นอีกตัวเลขที่ควรพิจารณา
3. นโยบายจ่ายปันผล: บางกองมี บางกองไม่มี ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากได้เงินปันผลระหว่างทาง หรืออยากให้เงินไปทบต้นลงทุนต่อ

นอกจากดัชนี S&P 500 แล้ว ตลาดอเมริกาก็ยังมีดัชนีอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกนะ อย่างดัชนี NASDAQ-100 ที่เน้นหุ้นเทคฯ ตัวใหญ่ๆ หรือบางคนอาจอยากลงทุนในหุ้นทั่วโลกไปเลย ก็มีกองทุนที่ลงทุนตามดัชนีหุ้นโลกก็มีให้เลือกมากมาย การเลือกกองทุนก็ต้องให้เหมาะกับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ และเป้าหมายการลงทุนของเราด้วย

โดยรวมแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่าน กองทุนรวมs&p 500 หรือกองทุนดัชนีอื่นๆ ที่ลงทุนในอเมริกา ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ ครับ/ค่ะ แม้ว่าช่วงนี้จะมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเข้ามากระทบ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่ดูไม่นิ่ง นโยบายการค้า หรือเรื่องการเมือง แต่พื้นฐานของบริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกาก็ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นผู้นำของโลกจริงๆ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจนะครับ/คะ ไม่ใช่แค่ดูว่ากองทุนนี้ลงทุนใน S&P 500 เหมือนกัน แล้วจะเหมือนกันเป๊ะทุกอย่าง ต้องดูรายละเอียดปลีกย่อยที่ผม/ดิฉันบอกไปข้างบนด้วย แล้วก็อย่าลืมเช็ควันหยุดทำการของตลาดทั้งฝั่งไทยและฝั่งอเมริกาด้วยนะ เพราะมีผลต่อวันซื้อขายและวันรับเงินของเราครับ/ค่ะ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนของกองทุนรวมให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน และควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยนะครับ/คะ การวิเคราะห์ข้างต้นเป็นเพียงการให้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ได้มา ณ ช่วงเวลานั้นๆ ไม่ถือเป็นการแนะนำให้ซื้อหรือขายหน่วยลงทุนใดๆ ครับ/ค่ะ

Leave a Reply