
เพื่อนรักนักลงทุนทั้งหลายครับ! คุณเคยไหมที่จู่ๆ ก็ได้ยินข่าวว่า “ดัชนีนิกเคอิ” (Nikkei Index) พุ่งกระฉูด หรือดิ่งเหว ชนิดที่ว่าทำให้หลายคนหูผึ่ง ตาโต บางคนถึงกับลุ้นกว่าหวยรัฐบาลซะอีก? บางทีก็งงๆ ว่าไอ้เจ้าชื่อที่ฟังดูเป็นญี่ปุ่น๊…ญี่ปุ่นอย่าง “นิกเคอิ” เนี่ย มันเกี่ยวอะไรกับชีวิตเรา หรือพอร์ตลงทุนของเราคนไทยด้วยนะ?
วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงิน ที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ “นิกเคอิ” ดัชนีตลาดหุ้นหลักของญี่ปุ่น ที่ซับซ้อนแต่ทรงอิทธิพล พร้อมเจาะลึกไปถึง “สถิติหุ้นนิเคอิ” ที่น่าสนใจและปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของคนญี่ปุ่น แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวเราทุกคนมากกว่าที่คิด!
**จากลูกโลกหมุนติ้ว สู่ตลาดหุ้นแดนปลาดิบ: ทำไม “นิกเคอิ” ถึงสำคัญกับกระเป๋าเรา?**
ลองจินตนาการว่าเศรษฐกิจโลกคือวงดนตรีวงใหญ่ ญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในสมาชิกวงที่มีอิทธิพลสูง ดัชนีนิกเคอิ 225 ก็เปรียบเสมือนเครื่องวัดชีพจรของวงดนตรีนี้ บ่งบอกว่ากำลังคึกคัก หรือกำลังซึมเซา มันคือค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของราคาหุ้นบริษัทใหญ่ 225 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) เช่น Toyota, Sony, Fast Retailing (บริษัทแม่ Uniqlo) เป็นต้น ดังนั้น เมื่อนิกเคอิขยับขึ้นลง มันจึงสะท้อนถึงสุขภาพเศรษฐกิจญี่ปุ่นโดยรวม และด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก การขยับตัวของนิกเคอิก็ย่อมส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นบ้านเราอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วยเช่นกัน
ย้อนดู “สถิติหุ้นนิเคอิ” กันสักหน่อยจะเห็นภาพชัดเลยว่ามันไม่เคยอยู่นิ่งเหมือนใจคน! เคยขึ้นไปจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายปี 1989 ที่ 38,915.87 จุด พุ่งพรวดถึง 29.04% ในปีนั้น ชนิดที่ว่าใครมีหุ้นคงยิ้มแก้มปริ แต่แล้วชีวิตก็ไม่เคยง่าย ปี 1990 ดัชนีกลับดิ่งเหวอย่างรุนแรง ปิดที่ 23,848.71 จุด หรือร่วงไปถึง 38.72% เรียกว่าคนหน้าซีดเป็นไก่ต้มกันเป็นแถบ นี่คือบทเรียนสำคัญที่บอกเราว่า “ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง” และมีขึ้นมีลงเป็นวัฏจักร เหมือนชีวิตที่เราต้องเจอแดดเจอฝนสลับกันไปนั่นแหละครับ
แต่ใช่ว่านิกเคอิจะจมดิ่งตลอดไป ล่าสุดในปี 2024 นี้ “สถิติหุ้นนิเคอิ” แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่น่าจับตา ด้วยราคาเฉลี่ยที่ 38,396.74 จุด และปิดที่ 39,894.54 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นถึง 19.22%! ส่วนการคาดการณ์ในปี 2025 แม้จะมีการประเมินว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 38,423.37 จุด แต่ก็มีการคาดการณ์การปิดที่จะอยู่ที่ 35,617.56 จุด ซึ่งอาจหมายถึงการปรับฐานลงเล็กน้อยที่ -10.72% อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการคาดการณ์นะครับ ไม่มีอะไรแน่นอนในตลาดหุ้น สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค และแน่นอนว่าส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

**บิดคันเร่ง หรือเหยียบเบรก? บทบาทของ “ธนาคารกลางญี่ปุ่น” ในตลาด “หุ้นนิเคอิ”**
เคยสังเกตไหมครับว่า เวลาธนาคารกลางแต่ละประเทศประกาศนโยบายการเงิน ตลาดหุ้นทั่วโลกก็มักจะกระเพื่อมตามไปด้วย? ที่ญี่ปุ่นก็เช่นกันครับ “ธนาคารกลางญี่ปุ่น” (Bank of Japan – BoJ) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนิกเคอิอย่างมาก
ลองคิดภาพตามนะครับ:
สมมติว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังซึมเซา เหมือนรถที่น้ำมันใกล้หมด ธนาคารกลางญี่ปุ่นก็จะ “บิดคันเร่ง” ด้วยการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Interest Rate) ให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือบางช่วงอาจจะถึงขั้นติดลบ! การลดดอกเบี้ยก็เหมือนการทำให้เงินกู้ยืมถูกลง บริษัทต่าง ๆ ก็กู้เงินได้ง่ายขึ้น เอาไปลงทุนขยายกิจการ ประชาชนก็ใช้จ่ายมากขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้นก็ดูน่าสนใจขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการฝากเงินมันน้อยนิดเหลือเกิน สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้น ดันให้ตลาดหุ้นนิกเคอิคึกคักขึ้นมาได้นั่นเองครับ
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจเริ่มร้อนแรงเกินไป เงินเฟ้อ (Inflation) สูงขึ้น ราคาข้าวของแพงขึ้นอย่างน่าตกใจ จนค่าครองชีพพุ่งปี๊ด ธนาคารกลางญี่ปุ่นก็อาจจะต้อง “เหยียบเบรก” ด้วยการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อดึงเงินออกจากระบบ ทำให้การกู้ยืมแพงขึ้น คนก็ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น การลงทุนก็ชะลอตัวลง การขึ้นดอกเบี้ยนี้จะทำให้ตลาดหุ้นดูไม่น่าสนใจเท่าเดิม เพราะเงินที่อยู่ในตลาดหุ้นอาจจะไหลกลับเข้าไปในบัญชีเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นได้ ส่งผลให้ดัชนีนิกเคอิอาจจะปรับตัวลดลงได้
นอกจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว อีกตัวแปรสำคัญที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องจับตามองคือ “อัตราเงินเฟ้อ” และ “ดัชนีราคาผู้บริโภค” (Consumer Price Index – CPI) ถ้า CPI สูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจเป็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อกำลังมา ธนาคารกลางก็ต้องคิดหนักว่าจะใช้มาตรการอะไรมาควบคุม และอีกอย่างที่สำคัญคือ “เงินเยน” (Japanese Yen – JPY) ถ้าเงินเยนอ่อนค่าลงมาก ๆ นั่นอาจจะดีสำหรับภาคการส่งออกของญี่ปุ่น เพราะสินค้าจะถูกลงและแข่งขันได้ดีขึ้น แต่ถ้าเงินเยนแข็งค่าขึ้น สินค้าญี่ปุ่นก็แพงขึ้น การส่งออกก็ยากขึ้น ซึ่งการเคลื่อนไหวของเงินเยนนี้ก็ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลกได้ด้วย เพราะญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าสำคัญของเราครับ
สรุปง่ายๆ ก็คือ นโยบายการเงินของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะบิดคันเร่งหรือเหยียบเบรก ล้วนมีอิทธิพลต่อการลงทุนและความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นนิกเคอิ และส่งแรงกระเพื่อมมาถึงเศรษฐกิจไทยในที่สุดครับ
**ตัวเลขชี้วัดเศรษฐกิจ: “แผนที่นำทาง” ในโลกของ “สถิติหุ้นนิเคอิ”**
เคยไหมครับเวลาเราจะเดินทางไปไหน เราต้องดูแผนที่หรือ GPS เพื่อให้ไปถึงที่หมายได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย? ในโลกการลงทุนก็เช่นกันครับ ตัวเลขทางเศรษฐกิจเหล่านี้เปรียบเสมือน “แผนที่นำทาง” ที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสภาวะของตลาดและตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
**”ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ” (Gross Domestic Product – GDP):** นี่คือตัวชี้วัดสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือน “ความอ้วนท้วนสมบูรณ์” ของประเทศ ถ้า GDP ของญี่ปุ่นเติบโตสูง หมายถึงเศรษฐกิจกำลังขยายตัว บริษัทต่าง ๆ ก็มีแนวโน้มจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นในดัชนีนิกเคอิปรับตัวขึ้นตามไปด้วยครับ เพราะบริษัทในดัชนีส่วนใหญ่ก็คือตัวแทนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั่นเอง
**”การส่งออกและการนำเข้า” (Exports and Imports):** ตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่าญี่ปุ่น “ค้าขาย” กับต่างประเทศได้ดีแค่ไหน ถ้าการส่งออกของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น หมายถึงภาคการผลิตแข็งแกร่ง บริษัทญี่ปุ่นผลิตสินค้าได้เยอะและขายได้ดีในตลาดโลก ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและส่งผลดีต่อตลาดหุ้น ในทางกลับกัน ถ้าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมาก ๆ อาจจะบอกว่าเศรษฐกิจภายในประเทศกำลังต้องการสินค้ามากขึ้น หรืออาจจะบอกว่าเงินไหลออกนอกประเทศมากขึ้นก็ได้ครับ
**”อัตราการว่างงานและการจ้างงาน” (Unemployment Rate and Employment Figures):** ลองนึกภาพว่าถ้าคนส่วนใหญ่มีงานทำ มีรายได้ ก็จะมีกำลังซื้อและใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมและบริษัทจดทะเบียน การที่อัตราการว่างงานต่ำและตัวเลขการจ้างงานสูง บ่งชี้ถึงสภาวะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดหุ้นครับ
**”การลงทุนในพันธบัตรและหุ้นต่างประเทศ” (Foreign Bond and Stock Investment):** ตัวเลขนี้สะท้อนถึง “ความเชื่อมั่นของนักลงทุน” ครับ ถ้ามีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในญี่ปุ่นเยอะ แสดงว่านักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลดีต่อตลาดหุ้นนิกเคอิ แต่ถ้าเงินไหลออกไปลงทุนต่างประเทศเยอะ ก็อาจจะเป็นสัญญาณว่านักลงทุนกำลังมองหาโอกาสที่ดีกว่าที่อื่น
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่ละเอียดลึกขึ้นไปอีก เช่น งบดุลของธนาคารกลาง (Central Bank Balance Sheet) หรือปริมาณเงิน (Money Supply – M0, M1, M2, M3) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ยิ่งมีสภาพคล่องสูง โอกาสที่เงินจะไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นก็มีมากขึ้นครับ

ดังนั้น การติดตาม “สถิติหุ้นนิเคอิ” คู่ไปกับการทำความเข้าใจตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ ก็เหมือนกับการมี “แผนที่นำทาง” ที่แม่นยำ ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินแนวโน้มและตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นครับ
**อยากลอง “เล่น” หรือ “ลงทุน” กับ “หุ้นนิเคอิ” ต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง? (และ “หวยหุ้นนิเคอิ” เกี่ยวอะไรกัน?)**
มาถึงเรื่องที่หลายคนสนใจกันบ้างครับ หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “เล่นหุ้นนิเคอิ” หรือ “ซื้อหวยหุ้นนิเคอิ” แล้วมันเหมือนกันไหม? ต้องบอกว่า “ไม่เหมือนกัน” เลยครับ!
**การลงทุนจริงจังใน “ดัชนีนิกเคอิ”**
สำหรับนักลงทุนที่อยาก “ลงทุน” จริงจังในดัชนีนิกเคอิ มีเครื่องมือทางการเงินหลายอย่างให้เลือกครับ ไม่ว่าจะเป็น:
1. **ดัชนีนิกเคอิ 225 Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีนิกเคอิ 225):** นี่คือเครื่องมือที่ใช้ในการเก็งกำไรและบริหารความเสี่ยง นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง แต่ก็มีความผันผวนสูงและต้องใช้ความรู้ความเข้าใจอย่างมากครับ
2. **กองทุนรวม (Exchange Traded Funds – ETFs) ที่อิงกับดัชนีนิกเคอิ:** สำหรับคนที่ไม่ต้องการซื้อขายหุ้นรายตัว การลงทุนใน ETF ที่ไปลงทุนตามดัชนีนิกเคอิ 225 ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ เพราะคุณจะได้กระจายความเสี่ยงไปในหุ้น 225 ตัวของญี่ปุ่นพร้อมกัน ไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นเอง
3. **การซื้อขาย CFD (Contract for Difference) ที่อิงกับดัชนีนิกเคอิ:** แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Moneta Markets หรืออื่น ๆ ก็มักจะมีบริการ CFD ที่ให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรจากการขึ้นลงของดัชนีนิกเคอิได้ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกันครับ
การตัดสินใจซื้อขายเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้ทั้ง **”การวิเคราะห์ทางเทคนิค”** (Technical Analysis) ที่ดูจากกราฟราคาและรูปแบบการเคลื่อนไหวในอดีต และ **”ปัจจัยพื้นฐาน”** (Fundamental Analysis) ที่ดูจากสุขภาพของบริษัทและเศรษฐกิจโดยรวม เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
**แล้ว “หวยหุ้นนิเคอิ” คืออะไร?**
ทีนี้มาถึง “หวยหุ้นนิเคอิ” ที่หลายคนคุ้นเคยกันดีในประเทศไทย บางทีถึงกับลุ้นผลเช้า ผลบ่ายกันเลยทีเดียว! ต้องอธิบายชัด ๆ ตรงนี้ว่า “หวยหุ้นนิเคอิ” **ไม่ใช่การลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นญี่ปุ่น** ครับ แต่เป็นการนำตัวเลขของดัชนีหุ้นนิเคอิ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เปิดเผยต่อสาธารณะมาใช้เป็นเกณฑ์ในการออกรางวัลคล้ายกับการแทงหวยใต้ดินหรือการพนันประเภทหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของหุ้น หรือการลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นแต่อย่างใด เป็นเพียงการเก็งกำไรตัวเลขตามผลของ “สถิติหุ้นนิเคอิ” ในแต่ละวันครับ
ดังนั้น หากคุณคิดจะ “ลงทุน” ใน “หุ้นนิเคอิ” จริง ๆ ต้องแยกให้ออกระหว่างการลงทุนที่แท้จริงกับการเสี่ยงโชคแบบ “หวยหุ้น” นะครับ การลงทุนที่แท้จริงมีความซับซ้อนและต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ ขณะที่การเสี่ยงโชคแบบหลังนั้น มีความเสี่ยงสูงและไม่ถือเป็นการลงทุนที่ยั่งยืนครับ
**สรุปและข้อคิดปิดท้าย: สู่การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดในยุคที่โลกหมุนไว**
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเรื่องราวของ “ดัชนีนิกเคอิ” ที่ผมพยายามเล่าให้ฟังแบบกระชับ เข้าใจง่าย หวังว่าคงจะช่วยให้ทุกท่านเห็นภาพรวมและเข้าใจความสำคัญของดัชนีนี้มากขึ้นนะครับ
จากที่เราได้เห็น “สถิติหุ้นนิเคอิ” ย้อนหลัง ไม่ว่าจะเป็นช่วงรุ่งเรืองสุดขีด หรือช่วงดิ่งเหวอย่างรุนแรง ไปจนถึงการฟื้นตัวที่น่าจับตาในปัจจุบัน นี่คือบทเรียนสำคัญที่บอกเราว่า “ตลาดหุ้นคือภาพสะท้อนของชีวิต ที่มีขึ้นมีลงเสมอ” ไม่มีอะไรที่จะขึ้นตลอดไป หรือลงตลอดไป ทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีปัจจัยที่ซับซ้อน ทั้งจากนโยบายการเงิน ตัวเลขเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง
สำหรับนักลงทุนไทยอย่างเรา การติดตาม “นิกเคอิ” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปครับ เพราะญี่ปุ่นคือคู่ค้าสำคัญ และการเชื่อมโยงของตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ทำให้เราได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ
ดังนั้น หากคุณกำลังคิดที่จะเข้าสู่สนามลงทุน ไม่ว่าจะในตลาดหุ้นไทย หรือมองโอกาสในตลาดต่างประเทศอย่างญี่ปุ่น ผมมีคำแนะนำง่าย ๆ ที่อยากจะฝากไว้ครับ:
1. **ศึกษาให้ละเอียดก่อนลงทุน:** เหมือนกับการจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เราต้องทำการบ้านก่อน ดูว่าที่นั่นมีอะไรน่าสนใจ มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง การลงทุนก็เช่นกันครับ ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไหร่ คุณก็จะมีความได้เปรียบมากเท่านั้น
2. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียวครับ การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลายประเภท หลายอุตสาหกรรม หรือหลายประเทศ จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนของคุณได้
3. **ลงทุนอย่างมีสติ:** อย่าลงทุนตามกระแส หรือตามเพื่อนบ้านที่บอกว่าดีอย่างเดียวครับ ทุกการตัดสินใจต้องมาจากข้อมูลและการวิเคราะห์ของคุณเอง
4. **เตรียมรับมือกับความผันผวน:** ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงเป็นปกติ สิ่งสำคัญคือการมีวินัยในการลงทุน ไม่ตื่นตระหนกตกใจง่าย ๆ และมีแผนการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเสมอ
⚠️ **คำเตือนส่งท้าย:** การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือ “ลงทุนเท่าที่คุณพร้อมจะเสียได้” เพื่อให้การเดินทางในโลกการลงทุนของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและยั่งยืนครับ! ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ!