
เคยได้ยินข่าว “ดัชนีอเมริกา ทำสถิติสูงสุดใหม่” หรือ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งแรง” บ้างไหมครับ? หลายคนอาจจะคิดว่า มันเป็นเรื่องไกลตัว อยู่คนละทวีป ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเรา แต่เชื่อมั้ยครับว่า การขึ้นลงของตลาดหุ้นอเมริกา โดยเฉพาะดัชนีอเมริกาหลักๆ มีผลกระทบกับตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยและเงินในกระเป๋าของเราด้วย!
ช่วงนี้ข่าวคราวจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างน่าสนใจครับ ดัชนีหลักหลายตัวปรับตัวขึ้นได้ดี โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตเนี่ย พุ่งขึ้นแรงมาก ถึงขนาดที่ดัชนี Nasdaq ทำสถิติสูงสุดใหม่ไปเรื่อยๆ เลยครับ ถามว่าทำไมตลาดหุ้นอเมริกาถึงคึกคักขนาดนี้? มันมีหลายปัจจัยประกอบกันครับ
หลักๆ เลย ตลาดตอบรับเชิงบวกกับข่าวเศรษฐกิจบางตัวที่ออกมาดีกว่าคาด เช่น ตัวเลขการจ้างงาน และก็มีสัญญาณดีๆ เรื่องความตึงเครียดระหว่างบุคคลสำคัญในวงการเทคฯ ลดลงด้วย ข้อมูลเศรษฐกิจดีๆ บวกกับความไม่แน่นอนบางอย่างที่คลี่คลายลง มันก็ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนนั่นแหละครับ
แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะดีไปหมดนะครับ แม้ภาพรวมดัชนีหลักจะเขียวสดใส แต่หุ้นบางตัว บางอุตสาหกรรม ก็ยังเจอแรงกดดันอยู่ อาจจะมาจากผลประกอบการที่ออกมาไม่ค่อยสวย หรือไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้เห็นว่าตลาดหุ้นอเมริกาช่วงนี้มีการ “เลือกเล่น” เป็นรายตัว รายกลุ่มครับ ไม่ใช่ว่าซื้ออะไรก็ขึ้นหมด
พูดถึงดัชนีอเมริกาเนี่ย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยนะครับ คิดเป็นสัดส่วนถึง 55% ของมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่ารวมกันกว่า 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใหญ่เบ้อเริ่มขนาดนี้ การเคลื่อนไหวของเขาเลยมีอิทธิพลสูงมากๆ ครับ เหมือนเป็นพี่ใหญ่ในวงการที่กระแสหุ้นจากเขาสามารถส่งไปถึงตลาดเล็กๆ อย่างตลาดหุ้นไทยได้เลย ตลาดหลักๆ ในสหรัฐฯ ก็มีสองแห่งที่ต้องรู้จัก คือ New York Stock Exchange หรือ NYSE ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1792 เก่าแก่มากๆ ครับ กับ Nasdaq ที่ก่อตั้งปี 1971 แห่งนี้จะเน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
แล้วดัชนีอเมริกาตัวสำคัญๆ ที่เราควรรู้จักมีอะไรบ้าง?
ตัวแรกที่ดังที่สุด คงหนีไม่พ้น **ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA)** ครับ ตัวนี้เก่าแก่สุด ก่อตั้งปี 1896 เลยนะ คำนวณแบบ Price-weighted index หรือถัวเฉลี่ยตามราคาหุ้น เลือกหุ้นขนาดใหญ่ 30 บริษัทมาคำนวณ เช่น Apple, Coca Cola, McDonald, Microsoft, Nike เนี่ยอยู่ในนี้หมดเลย ดัชนีดาวโจนส์มักถูกใช้เป็นตัวชี้วัดทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวม เป็นเหมือนดัชนีรุ่นเก๋าที่สะท้อนมุมมองเศรษฐกิจโดยรวม

แต่ดัชนีอเมริกาที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน และเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จริงๆ คือ **ดัชนี S&P 500** ครับ ตัวนี้ก่อตั้งปี 1957 คำนวณแบบ Market capitalization-weighted index หรือถัวเฉลี่ยตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ใช้หุ้น 500 บริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 70-80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดเลยครับ หุ้นที่มีอิทธิพลสูงมากๆ ใน S&P 500 ก็คือพวก Microsoft, Apple, Nvidia เนี่ยสามตัวนี้มีน้ำหนักเยอะสุดๆ การเคลื่อนไหวของหุ้นพวกนี้ส่งผลกับดัชนี S&P 500 มากๆ ครับ
ส่วนสายเทคโนโลยี สายหุ้นเติบโต ต้องดูที่ **ดัชนี Nasdaq** ครับ ก่อตั้งปี 1971 ดัชนีนี้รวมหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq คำนวณแบบ Market capitalization-weighted index เช่นกัน หุ้นใหญ่ๆ ที่อยู่ใน Nasdaq ก็ตัวเดียวกับ S&P 500 เลยครับพวก Microsoft, Apple, Nvidia อะไรพวกนี้ ก็มีอิทธิพลต่อดัชนี Nasdaq สูงมากเช่นกัน เป็นตัวแทนหลักของหุ้นกลุ่มเทคฯ เลย
นอกจากนี้ก็ยังมีดัชนีอเมริกาตัวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น **ดัชนี Russell 2000** ที่รวมหุ้นขนาดเล็ก 2,000 ตัวในสหรัฐฯ ใช้ดูสุขภาพของบริษัทเล็กๆ และ **กลุ่ม REITs (Nareit U.S.)** อันนี้เป็นดัชนีสำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นสร้างกระแสเงินสดครับ
หนึ่งในข้อที่น่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ **ไม่มีเกณฑ์ Floor/Ceiling** หรือไม่มีข้อจำกัดการขึ้นลงของราคาหุ้นรายวันครับ ต่างจากตลาดหุ้นไทยที่มีลิ่ง มีฟลอร์ อันนี้ทำให้ราคาหุ้นในสหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นหรือลงได้ไม่จำกัดภายในวันเดียว ซึ่งก็หมายถึงความผันผวนที่สูงกว่าบางตลาดนั่นเอง
ลองเจาะลึกภาพรวมตลาดช่วงที่ผ่านมาอีกนิดนะครับ ภาคส่วนที่ปรับตัวขึ้นแรงๆ เลยก็คือ ภาคเทคโนโลยี พุ่งไป 3.85% ภาคการเงิน (ในดัชนี S&P 500) ขึ้น 3.28% ภาคสินค้าอุปโภคบริโภค (S&P 500) ขึ้น 3.23% ภาคบริการด้านการสื่อสาร (S&P 500) ขึ้น 2.90% แม้แต่ภาคธนาคาร (ในดัชนี KBW) ก็ขึ้น 2.86% และภาคเซมิคอนดักเตอร์ (ในดัชนี PHLX) นี่พุ่งแรงสุด 5.32% เลยครับ ชัดเจนว่ากลุ่มเทคฯ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ (การเงิน, อุปโภคบริโภค) เป็นตัวนำตลาดช่วงนี้
แต่ก็มีภาคส่วนที่ปรับลงเล็กน้อยเหมือนกันครับ เช่น ภาคโทรคมนาคม (ในดัชนีดาวโจนส์) ลงไป 0.63% หรือภาคสาธารณูปโภค (ในดัชนีดาวโจนส์) ที่ลงเล็กน้อย ตัวอย่างหุ้นที่ปรับขึ้นแรงๆ ก็อย่างที่บอกครับ พวก NVIDIA, Amazon.com, Apple เนี่ยขึ้นกันสวยงามเลย เป็นกลุ่มเทคฯ ขนาดใหญ่ที่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด
ในทางกลับกัน หุ้นบางตัวก็ปรับลงนะครับ เช่น Verizon ที่ลงไป 1.89% หุ้น Lululemon (บริษัทเสื้อผ้ากีฬา) นี่ลงไปหนักเลยประมาณ 21% จากข่าว ส่วน Broadcom (บริษัทเซมิคอนดักเตอร์) ก็ลงไป 4.5% อันนี้เป็นตัวอย่างว่า แม้ดัชนีจะขึ้น แต่หุ้นรายตัวก็มีปัจจัยเฉพาะของตัวเองที่ส่งผลต่อราคาครับ
นอกจากนี้ก็มีหุ้นที่ถูกจับตาจากข่าวเฉพาะตัว เช่น Tesla ที่ขึ้นมา 4.1% จากข่าว หรือ GameStop ที่มีการรายงานว่า Roaring Kitty (คนที่เคยจุดกระแสหุ้นนี้เมื่อหลายปีก่อน) เพิ่มการถือครองหุ้น ทำให้ราคากลับมาคึกคักอีกครั้ง
แล้วอะไรที่ทำให้ ดัชนีอเมริกา พุ่งขึ้นมาล่ะ? ส่วนหนึ่งมาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาครับ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm payrolls) เพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 130,000 ตำแหน่งนิดหน่อย (แต่ก็น้อยกว่าเดือนก่อนที่เพิ่ม 147,000 ตำแหน่งนะครับ) คุณ Eric Criscuolo นักกลยุทธ์ตลาด เคยให้ความเห็นผ่าน NYSE ว่า ตัวเลขนี้สะท้อนตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์หลายคนมอง
ส่วนอัตราการว่างงานก็ทรงตัวอยู่ที่ 4.2% ซึ่งตรงกับการคาดการณ์ แสดงว่าอัตราว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำอยู่ครับ ถ้าไปดูการจ้างงานรายภาคส่วน ก็เห็นว่าส่วนใหญ่ไปเพิ่มในภาคการดูแลสุขภาพ (+62,000 ตำแหน่ง) กับภาคสันทนาการ/โรงแรม (+48,000 ตำแหน่ง) ขณะที่ภาครัฐบาลกลางยังลดลงต่อเนื่อง ก็แปลว่าการเติบโตของการจ้างงานยังกระจุกตัวในบางอุตสาหกรรมครับ
นอกจากตัวเลขจ้างงาน ก็ยังมีข่าวดีเกี่ยวกับเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคมด้วยครับ ประกอบกับความเห็นที่ว่าตลาดแรงงานเริ่มกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น สัญญาณบวกทั้งเรื่องเงินเฟ้อและตลาดแรงงานเนี่ย ก็ยิ่งสนับสนุนมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนั่นแหละครับ แม้แต่ยอดขายรถบ้าน (RV) ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ ก็มีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งบางทีก็ถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับเศรษฐกิจโดยรวมได้เหมือนกัน
ทีนี้… ในฐานะนักลงทุนไทย เราเกี่ยวอะไรกับ ดัชนีอเมริกา พวกนี้?

คุณธนทัต มัตยะสุวรรณ เคยอธิบายไว้ครับว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนี่ย มีบริษัทในอุตสาหกรรมที่เราไม่ค่อยเจอในไทยเยอะเลย โดยเฉพาะกลุ่ม Technology ที่เป็นผู้คิดค้นซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์ม หรือกลุ่ม Pharma/Biotech ที่เป็นผู้คิดค้นยา บริษัทเหล่านี้เป็นหัวหอกด้านนวัตกรรมของโลก ซึ่งเป็นโอกาสลงทุนที่เราอาจจะหาไม่ได้ในตลาดหุ้นไทยครับ
และช่องทางการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สำหรับนักลงทุนไทยก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดแล้วนะครับ ไม่ต้องไปเปิดบัญชีโบรกเกอร์ต่างประเทศโดยตรงเสมอไป ปัจจุบันมีหลายทางเลือกเลยครับ
ทางเลือกแรก คือ **กองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ** ที่เราสามารถลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในไทยได้เลยครับ มีทั้งแบบที่เน้นอิงดัชนีหลักๆ อย่าง S&P 500, Nasdaq หรือเป็นกองทุนแบบตามธีม เช่น เน้นหุ้นเทคโนโลยี, AI, เซมิคอนดักเตอร์, สุขภาพ พวกนี้ก็สะดวกดีครับ
อีกทางเลือกที่น่าสนใจคือ **DR (Depositary Receipt)** ซึ่งก็คือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่เราสามารถซื้อขายได้ตามเวลาตลาดหุ้นไทยเลยครับ
และที่ใหม่ขึ้นมาหน่อยคือ **DRx (Fractional Depositary Receipt)** อันนี้ซื้อขายหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศได้ตามเวลาตลาดต่างประเทศจริงๆ และสามารถซื้อเป็นจำนวนเงินบาทหรือเป็นหน่วยย่อยๆ ก็ได้ครับ ทำให้เราเข้าถึงหุ้นตัวดังๆ ราคาแพงๆ ได้ง่ายขึ้น ผ่านแอป Streaming ที่เราใช้ซื้อขายหุ้นไทยนี่แหละครับ
ข้อดีมากๆ ของการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่านช่องทางเหล่านี้สำหรับนักลงทุนไทย ก็คือ โดยทั่วไปแล้ว เราไม่ต้องไปยุ่งยากเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศโดยตรงในตอนซื้อขาย และที่สำคัญ **ไม่เสียภาษีกำไรจากการลงทุน (Capital Gain Tax)** ด้วยครับ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่น่าสนใจมากๆ
สรุปแล้ว การทำความเข้าใจ ดัชนีอเมริกา ตัวหลักๆ อย่าง ดัชนีดาวโจนส์, S&P 500, Nasdaq หรือแม้แต่ Russell 2000 ก็เหมือนการมีเข็มทิศนำทางให้เราพอเห็นภาพรวมของตลาดการเงินที่ใหญ่และมีอิทธิพลที่สุดในโลกครับ การรู้ว่าอะไรกำลังขับเคลื่อนตลาด อะไรคือปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง จะช่วยให้เราวางแผนการลงทุนได้ดีขึ้น และมองหาโอกาสลงทุนในบริษัทนวัตกรรมที่ไม่เหมือนใครในโลกได้
แต่จำไว้เสมอครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่มีความผันผวนสูง ไม่มีลิ่ง ไม่มีฟลอร์แบบตลาดไทย ถ้าเงินลงทุนของคุณไม่ได้เป็นส่วนที่พร้อมเสียได้ทั้งหมด หรือสภาพคล่องไม่สูงมากๆ อาจจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้ครับ การเริ่มต้นจากกองทุนรวมที่กระจายความเสี่ยง หรือการลงทุนด้วยจำนวนเงินที่จำกัด อาจเป็นทางเลือกที่ดีในการทำความคุ้นเคยกับตลาดประเภทนี้ก่อนครับ