เจาะลึกดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทำไมถึงสำคัญกับเงินในกระเป๋าคุณ?

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเวลาเห็นข่าวหุ้นต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะพูดถึง ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ ก่อนเพื่อนเลย? เจ้าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เนี่ย มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเงินในกระเป๋าเราล่ะ? วันนี้ในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงินที่คลุกคลีกับตัวเลขมานาน จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ ครับ

ช่วงที่ผ่านมา ถ้าใครตามข่าว อาจจะเห็นว่าดัชนีตลาดหุ้นหลักของสหรัฐอเมริกาหลายตัวคึกคักเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) ที่เป็นตัวแทนของ 30 บริษัทใหญ่ระดับบลูชิพ (Blue Chip หมายถึงบริษัทชั้นดี มีฐานะมั่นคง), ดัชนี S&P 500 ซึ่งครอบคลุม 500 บริษัทขนาดใหญ่สุดในตลาด และดัชนี Nasdaq ที่เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq Composite และ Nasdaq 100 (100 บริษัทใหญ่ใน Nasdaq ยกเว้นกลุ่มการเงิน) ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในวันที่เรามีข้อมูล ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้บอกแค่ว่าหุ้นขึ้นหรือลง แต่สะท้อนถึงบรรยากาศและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้เลย

ลองเจาะดูที่ตัวผู้เล่นหลักๆ หน่อยซิครับ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเนี่ยมาแรงแซงทางโค้งจริงๆ เหมือนมีพี่ใหญ่ในวงการอย่าง Nvidia (เอ็นวิเดีย), Amazon (อเมซอน), Apple (แอปเปิล) นำทัพราคาพุ่งขึ้นอย่างโดดเด่น นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ฉุดให้ดัชนีอย่าง S&P 500 หรือ Nasdaq ที่มีหุ้นเหล่านี้เป็นส่วนประกอบหลัก ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่บางตัวอย่าง Verizon (เวริซอน) อาจจะปรับตัวลงบ้าง หรือ Cisco (ซิสโก้) ก็ทรงๆ แต่ภาพรวมคือหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี สารสนเทศ การเงิน และอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นบวกนะครับ แม้บางกลุ่มอย่างโทรคมนาคมหรือสาธารณูปโภคจะขยับน้อยหรือไม่ขยับเลยก็ตาม

แล้วทำไมตลาดหุ้นที่อยู่ไกลโพ้นอย่างอเมริกา ถึงมีอิทธิพลกับเราที่อยู่เมืองไทยล่ะ? ง่ายๆ เลยครับ ลองนึกภาพว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือเรือบรรทุกสินค้าลำใหญ่ที่สุดในโลก เทียบง่ายๆ คือมีขนาดตลาดประมาณ 55% ของตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งหมดทีเดียว! พอเรือลำใหญ่เคลื่อนที่ ย่อมต้องสร้างคลื่นกระทบไปถึงเรือลำเล็กกว่าที่แล่นอยู่ในมหาสมุทรเดียวกัน ซึ่งก็คือตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยของเราด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่ไหลเข้าไหลออก หรือสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผูกโยงกันไปหมด

พูดถึงดัชนีหุ้นสหรัฐฯ บ่อยๆ แต่ไอ้เจ้าดัชนีพวกนี้มันคืออะไรกันแน่? ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีตลาดหลักๆ สองแห่งคือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) ส่วนดัชนีที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ ก็เป็นเหมือนการเอาหุ้นกลุ่มต่างๆ มารวมกันแล้วคำนวณออกมาเป็นตัวเลข เพื่อให้เห็นภาพรวมของตลาดนั้นๆ ครับ

* **ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA):** เป็นดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่ง ประกอบด้วยหุ้น Blue Chip แค่ 30 ตัว วิธีคำนวณจะให้น้ำหนักตามราคา (Price Weighted) เหมือนกับการนับคะแนนตามราคาของแต่ละหุ้นตรงๆ ไม่ได้อิงตามขนาดบริษัททั้งหมด
* **ดัชนี S&P 500 (Standard & Poor’s 500):** ตัวนี้เป็นที่นิยมใช้อ้างอิงมากที่สุด เพราะครอบคลุม 500 บริษัทขนาดใหญ่ คิดเป็นประมาณ 80% ของมูลค่าตลาดรวมในสหรัฐฯ วิธีคำนวณจะให้น้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap. Weighted) คือบริษัทไหนใหญ่มาก มีมูลค่าตลาดสูง ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีนี้มากหน่อย
* **ดัชนี Nasdaq Composite:** อันนี้รวมหุ้นทั้งหมดที่ซื้อขายในตลาด Nasdaq ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเติบโตสูง ก็ให้น้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือนกันครับ
* **ดัชนี Nasdaq 100:** เป็นดัชนีย่อยของ Nasdaq Composite แต่จะคัดมาเฉพาะ 100 บริษัทใหญ่สุดใน Nasdaq (ยกเว้นบริษัทในกลุ่มสถาบันการเงิน) เน้นหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นพิเศษ ตัวนี้ก็ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเช่นกัน
* **ดัชนี Russell 2000:** ตัวนี้จะเป็นดัชนีที่เน้นหุ้นขนาดเล็กถึงกลาง (Small-Cap) ประมาณ 2,000 บริษัท

ดัชนีแต่ละตัวก็เป็นเหมือนภาพวาดของตลาดในมุมที่แตกต่างกัน นักลงทุนก็จะใช้มันเพื่อดูแนวโน้มและความแข็งแกร่งของตลาดในแต่ละกลุ่มครับ

มาดูที่สุขภาพเศรษฐกิจอเมริกากันบ้าง ตัวเลขล่าสุดออกมาแนวผสมๆ นะครับ อย่างข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) หรือกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่รายงานว่ายอดขายบ้านใหม่ในเดือนมีนาคมปรับตัวสูงขึ้น สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 (ถ้าเป็นข้อมูลปีเก่า) ก็ดูเป็นสัญญาณที่ดี แต่พอไปดูข้อมูลจากเอสแอนด์พี โกลบอล ที่สำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและบริการในเดือนเมษายน (เบื้องต้น) ปรากฏว่าปรับตัวลงมาอยู่ที่ 51.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน นี่ก็เป็นสัญญาณว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมอาจจะไม่ได้คึกคักเหมือนที่ตลาดคาดหวัง นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ก็ลดลง หลังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น

นอกจากตัวเลขเศรษฐกิจแล้ว เรื่องนโยบายและการเมืองก็ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมากในอดีต เราเห็นมาแล้วว่าท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ ต่อประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หรือประเด็นสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างจีน ก็เคยสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดมาแล้ว หรือแม้แต่ประเด็นข้อพิพาททางการค้ากับกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป (EU) เกี่ยวกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ก็เป็นเรื่องที่ต้องจับตาครับ

โอเค… เริ่มเห็นภาพแล้วว่าตลาดหุ้นอเมริกามันน่าสนใจ แล้วถ้าเราซึ่งเป็นนักลงทุนไทยอยากลงทุนบ้าง ทำได้ยังไง? สมัยนี้ง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะครับ มีหลายช่องทางให้เลือก ไม่ต้องบินไปเปิดบัญชีที่อเมริกาเองแล้ว

1. **กองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ:** อันนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาหุ้นรายตัว หรืออยากกระจายความเสี่ยงมากๆ เพราะกองทุนจะรวบรวมหุ้นหลายๆ ตัวไว้ให้เราแล้ว บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ มีให้เลือกทั้งแบบที่ลงทุนตามดัชนีต่างๆ เช่น S&P 500 หรือ Nasdaq 100 หรือแบบที่เน้นลงทุนตามธีมที่น่าสนใจ
2. **ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt – DR):** อันนี้เหมือนเราได้ซื้อสิทธิในหุ้นต่างประเทศ โดยใช้เงินบาทซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยนี่แหละครับ ข้อดีคือสะดวก ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องแลกเงิน และเรื่องภาษีกำไรจากการลงทุนในต่างประเทศก็มักจะมีการจัดการไว้ให้แล้วในโครงสร้างของ DR
3. **DRx (Fractional Depositary Receipt):** เป็นน้องใหม่ที่มาแรงกว่า DR ทั่วไป เพราะเราสามารถซื้อขายได้ตามเวลาทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จริงๆ เลย แถมยังสามารถซื้อขายเป็นจำนวนเงินบาทได้ ไม่ต้องซื้อเต็มหน่วยหุ้นก็ได้ (เหมือนซื้อหุ้นแบบเศษหุ้นนั่นแหละ) เหมาะสำหรับคนที่อยากทดลองลงทุนด้วยเงินไม่มาก และอยากซื้อขายแบบเรียลไทม์ ตัวอย่าง DRx ที่อ้างอิงดัชนี Nasdaq 100 ก็มีให้เลือกนะครับ อย่าง NDX01

ช่องทางเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงโอกาสการเติบโตของบริษัทระดับโลกได้อย่างสะดวกขึ้นมาก และช่วยลดความยุ่งยากเรื่องการจัดการเงินตราต่างประเทศและภาษีไปได้เยอะเลยครับ

สรุปแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เนี่ย มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด การเคลื่อนไหวของตลาดนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย การทำความเข้าใจว่าดัชนีแต่ละตัวบอกอะไร เศรษฐกิจอเมริกาเป็นอย่างไร และมีช่องทางไหนที่เราจะเข้าไปร่วมลงทุนได้บ้าง จึงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับนักลงทุนทุกคนครับ

⚠️ **แต่จำไว้นะครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ** ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในประเทศไหนก็ตาม และถ้าเงินทุนไม่มากนัก หรือเพิ่งเริ่มต้น ลองพิจารณาช่องทางที่เหมาะกับตัวเองก่อนก็ได้นะ เช่น กองทุนรวม หรือ DRx ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและเริ่มต้นด้วยเงินไม่เยอะได้ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนครับ!

Leave a Reply