เจาะลึกกองทุน NASDAQ กสิกร: โอกาสทอง tech หรือกับดักความเสี่ยง?

เพื่อนๆ เคยคิดไหมครับว่า โทรศัพท์มือถือที่เราใช้ แอปที่เรากดเล่นทุกวัน หรือแม้แต่ระบบ Cloud (คลาวด์) ที่เก็บข้อมูลต่างๆ เนี่ย มันมาจากบริษัทไหนบ้าง? ใช่แล้วครับ ส่วนใหญ่มาจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลายๆ บริษัทอยู่ในตลาดหุ้น NASDAQ และติดอยู่ในลิสต์ 100 บริษัทแรกที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เราเรียกว่าดัชนี Nasdaq-100 นั่นเอง

แล้วถ้าเราอยาก “เป็นเจ้าของ” บริษัทพวกนี้บ้างล่ะ? จะทำยังไงดีโดยที่ไม่ต้องไปเปิดพอร์ตหุ้นที่อเมริกาเองให้ยุ่งยาก? หนึ่งในวิธีที่นักลงทุนไทยหลายคนเริ่มหันมามองคือการลงทุนผ่านกองทุนรวมครับ และเมื่อพูดถึงการลงทุนในกลุ่มนี้จากไทย ชื่อหนึ่งที่มักจะขึ้นมาก็คือ กองทุน nasdaq กสิกร หรือกองทุน K-USXNDQ จาก บลจ.กสิกรไทย ครับ

วันนี้ผมในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงินที่จะพยายามเล่าเรื่องซับซ้อนให้เข้าใจง่าย จะพาไปเจาะลึกกันว่า กองทุนนี้เป็นยังไง น่าสนใจแค่ไหน และเหมาะกับใครบ้างครับ

**กองทุน K-USXNDQ คืออะไร? เข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนเล่าให้ฟัง**

ลองนึกภาพว่าเราอยากกินอาหารหลายๆ อย่างในร้านหรูๆ แต่เราจ่ายคนเดียวไม่ไหว กองทุนรวมก็เหมือนกับการที่เราเอาเงินไปรวมกับคนอื่นๆ แล้วให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพเป็นคนไปซื้อ “หุ้น” หรือ “สินทรัพย์” ต่างๆ แทนเรา กองทุน K-USXNDQ ก็ทำงานคล้ายๆ กันครับ

แต่้มันพิเศษตรงที่ กองทุนนี้เป็นแบบที่เรียกว่า Feeder Fund (กองทุนรวมหน่วยลงทุน) พูดง่ายๆ คือ กองทุนบ้านเรา (K-USXNDQ) เนี่ย ไม่ได้ไปไล่ซื้อหุ้น Microsoft (ไมโครซอฟท์), Apple (แอปเปิล), Amazon (แอมะซอน) หรือบริษัทอื่นๆ ใน Nasdaq-100 โดยตรงทีละตัว แต่เขาเอาเงินส่วนใหญ่ของเรา (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568 บอกว่าลงทุนในกองทุนหลักสูงถึง 96.42%) ไปลงทุนในกองทุนใหญ่อีกทีที่ชื่อว่า Invesco NASDAQ 100 ETF หรือที่หลายคนอาจคุ้นชื่อเดิมคือ Invesco QQQ Trust (QQQ) ที่จดทะเบียนและซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โน่นครับ

ข้อดีของการทำแบบนี้คือ เราได้ลงทุนตามดัชนี Nasdaq-100 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่กองทุนไทยทำหน้าที่เชื่อมให้เราเข้าถึงการลงทุนในตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้นครับ กองทุนนี้เน้นลงทุนในต่างประเทศ และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงิน) ไม่น้อยกว่า 75% ด้วยครับ

**ความเสี่ยงและใครเหมาะกับกองทุน nasdaq กสิกร ตัวนี้?**

ทีนี้มาถึงเรื่องสำคัญครับ การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ผ่านกองทุน K-USXNDQ เนี่ย **มีความเสี่ยงสูงมาก อยู่ในระดับ 6 เลยทีเดียว** ลองนึกภาพกราฟราคาหุ้นกลุ่มเทคดูสิครับ มันวิ่งขึ้นเร็วมากในบางช่วง แต่พอมีข่าวร้าย หรือปัจจัยลบมากระทบ มันก็ปรับตัวลงได้แรงไม่แพ้กัน สถิติความผันผวนมาตรฐาน (SD) ในช่วง 1 ปี (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568) ก็อยู่ที่ 26.11% ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร และการปรับตัวลงสูงสุด (MDD) ที่เคยเจอคือ -35.94% ครับ (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568) นั่นหมายความว่า ถ้าคุณลงทุนตอนที่ราคาสูงสุด แล้วตลาดเกิดวิกฤติ มูลค่าเงินลงทุนของคุณอาจหายไปเกือบ 36% ได้เลยนะครับ

ดังนั้น กองทุนนี้จึงเหมาะกับคนที่มีคุณสมบัติดังนี้ครับ:

1. **รับความผันผวนได้สูง:** ถ้าเห็นตัวเลขพอร์ตติดลบแล้วใจเสีย นอนไม่หลับ กองทุนนี้อาจจะไม่ใช่คำตอบครับ
2. **มีเงินเย็น:** เงินที่จะลงทุนต้องเป็นเงินที่เรายังไม่มีแผนจะใช้ในระยะเวลาอันใกล้จริงๆ ครับ
3. **มองเป็นการลงทุนระยะยาว:** อย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป หรือมองไปถึง 10 ปีเลยยิ่งดี เพราะหุ้นกลุ่มเติบโตสูงแบบนี้มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จากการที่บริษัทเติบโตตามเทคโนโลยี

ถ้าคุณเป็นคนที่อยากได้ผลตอบแทนสูงๆ จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก และยอมรับความเสี่ยง รวมถึงความผันผวนระยะสั้นได้ พร้อมจะถือลงทุนยาวๆ กองทุน nasdaq กสิกร ตัวนี้ก็น่าพิจารณาครับ

**แล้วผลงานที่ผ่านมาเป็นยังไง?**

มาดูผลการดำเนินงานของกองทุน K-USXNDQ-A(A) (ข้อมูล ณ วันที่ 6 มิถุนายน 2568) เทียบกับตัวชี้วัดกันบ้างครับ:

* **ต้นปีถึงปัจจุบัน:** กองทุนทำได้ 1.04% ขณะที่ตัวชี้วัดทำได้ 1.41%
* **3 เดือน:** กองทุนทำได้ 2.95% ตัวชี้วัดทำได้ 3.25%
* **6 เดือน:** กองทุนทำได้ 7.45% ตัวชี้วัดทำได้ 7.94%
* **1 ปี:** กองทุนทำได้ 9.54% ตัวชี้วัดทำได้ 10.32%
* **3 ปี:** กองทุนทำได้ 10.64% ตัวชี้วัดทำได้ 11.67%
* **5 ปี:** กองทุนทำได้ 73.10% ตัวชี้วัดทำได้ 76.58%
* **ตั้งแต่จัดตั้ง:** กองทุนทำได้ 17.24% ตัวชี้วัดทำได้ 18.59%

(ข้อมูล ณ วันที่ 6 มิถุนายน 2568)

จะเห็นว่าผลตอบแทนของกองทุนจะใกล้เคียงกับตัวชี้วัดค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นธรรมชาติของกองทุนดัชนีครับ แม้ในบางช่วงอาจจะทำได้ต่ำกว่าตัวชี้วัดเล็กน้อย แต่ในระยะยาว (5 ปี) ก็ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจทีเดียวครับ มูลค่าหน่วยลงทุนล่าสุด ณ วันที่ 6 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 37.0449 บาท เปลี่ยนแปลง +0.9653% จากวันก่อนหน้าครับ

**ค่าใช้จ่ายการลงทุนล่ะ?**

เรื่องค่าธรรมเนียมก็สำคัญไม่แพ้กันครับ สำหรับกองทุน K-USXNDQ:

* **ค่าธรรมเนียมการจัดการ:** อยู่ที่ 0.54% ต่อปี (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568)
* **รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด:** อยู่ที่ 0.71% ต่อปี (ข้อมูล ณ กุมภาพันธ์ 2568)

ถือว่าเป็นค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผลสำหรับการลงทุนในต่างประเทศครับ ที่น่าสนใจคือ **ไม่มีค่าธรรมเนียมการขายหน่วยลงทุน** ครับ แต่จะมีค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนบางส่วน หากขายคืนหน่วยลงทุนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้มาจากการสับเปลี่ยนออกจากกองทุนรวมอื่นภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่สับเปลี่ยนเข้ามาในกองทุน K-USXNDQ ครับ (ศึกษารายละเอียดในหนังสือชี้ชวนอีกครั้ง)

และที่ทำให้หลายคนเข้าถึงได้ง่ายคือ **มูลค่าขั้นต่ำในการลงทุนครั้งแรกและครั้งต่อไปอยู่ที่แค่ 500 บาทเท่านั้นเองครับ** ถือว่าเปิดโอกาสให้คนที่มีเงินลงทุนไม่มากก็สามารถเข้าถึงหุ้นเทคโนโลยีระดับโลกได้ครับ ส่วนการขายคืนและรับเงิน จะใช้เวลาประมาณ T+3 วันทำการครับ (นับจากวันที่ส่งคำสั่งขาย)

**แนวโน้มตลาดเทคโนโลยีสหรัฐฯ ตอนนี้เป็นยังไง? ทำไมถึงน่าสนใจ?**

นักวิเคราะห์หลายสำนัก (อย่างเช่น KS Global Invest, CFRA Research, Bloomberg) มองว่าธุรกิจเทคโนโลยีสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่องครับ ใช่ครับ มันอาจจะมีความผันผวนระยะสั้นบ้าง จากปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หรือสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

แต่ข่าวดีคือ อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อดูเหมือนกำลังจะเข้าสู่ช่วง “ปลายวัฏจักร” แล้วครับ เหมือนกับว่าแรงกดดันที่เคยบีบหุ้นกลุ่มเติบโตสูงให้ราคาปรับลงมาเยอะๆ เนี่ย มันกำลังจะเบาลงแล้ว หุ้นกลุ่ม Growth (หุ้นที่เน้นการเติบโต) หลายตัวราคาปรับลงมาจนน่าสนใจ และมีแนวโน้มที่กำไรจะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้งครับ

ลองนึกภาพว่าคุณมองเห็นว่าโลกในอนาคตจะเต็มไปด้วย AI (ปัญญาประดิษฐ์), รถยนต์ไฟฟ้า (EV), หรือระบบสื่อสาร 5G ที่เร็วขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ และกลุ่มเทคโนโลยีก็เป็นผู้เล่นหลักในเรื่องนี้ครับ แม้ในระยะสั้นจะผันผวน แต่ในระยะยาว เทคโนโลยียังคงเป็นหัวใจหลักที่ทำให้บริษัทเหล่านี้เติบโตได้ดีกว่าหลายๆ อุตสาหกรรมครับ

บริษัทอย่าง Microsoft (ไมโครซอฟท์) ที่เป็นทั้งบริษัทซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และมีธุรกิจ Cloud (Azure) ที่เติบโตแรง ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทชั้นนำในดัชนี Nasdaq-100 ที่ยังคงสร้างการเติบโตและมีมูลค่าตลาดใหญ่อันดับต้นๆ ของโลกครับ (ปัจจุบันใหญ่อันดับ 2 ของโลก)

**อย่าให้ Home Bias มาขวางโอกาสลงทุนของคุณ!**

มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนชอบถามผมว่า “ลงทุนแต่หุ้นไทยได้ไหม?” หรือ “ลงทุนต่างประเทศมันยุ่งยากหรือเปล่า?” นี่แหละครับที่เรียกว่า Home Bias หรือ “อคติการลงทุนในประเทศ” คือเรามักจะรู้สึกสบายใจที่จะลงทุนในสิ่งที่คุ้นเคย ใกล้ตัว หรือในประเทศของเราเอง

แต่การมี Home Bias มากเกินไปอาจทำให้เราพลาดโอกาสสำคัญไปนะครับ ตลาดหุ้นทั่วโลกมีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยมหาศาล และมีบริษัทที่ทำธุรกิจใหม่ๆ น่าสนใจมากมาย ที่สำคัญ การกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในหลายๆ ประเทศ หรือหลายๆ ภูมิภาค ก็ช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้ครับ เหมือนสุภาษิตที่บอกว่า “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” ถ้าตะกร้าใบนั้นตก ไข่แตกหมดแน่ๆ ครับ แต่ถ้าแบ่งไข่ใส่หลายๆ ตะกร้า ต่อให้ตะกร้าใบหนึ่งตก เราก็ยังเหลือไข่ในตะกร้าอื่นๆ ครับ

การลงทุนใน กองทุน nasdaq กสิกร อย่าง K-USXNDQ หรือกองทุนอื่นๆ ที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ (เช่น K-USA ที่ลงทุนในหุ้นเติบโตสูง 30-40 ตัว หรือ K-GTECH ที่เน้นหุ้นเทคฯ ทั่วโลก 50-80 ตัว) ก็เป็นวิธีที่ดีในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับพอร์ตของคุณครับ

**สรุปและข้อแนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน**

โดยสรุปแล้ว กองทุน nasdaq กสิกร หรือกองทุน K-USXNDQ เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจมากๆ สำหรับนักลงทุนไทยที่อยากมีส่วนร่วมกับการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ ผ่านการลงทุนตามดัชนี Nasdaq-100 ครับ กองทุนนี้มีจุดเด่นที่เข้าถึงง่ายด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำแค่ 500 บาท และมีค่าธรรมเนียมที่ไม่สูงจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องย้ำเตือนตัวเองเสมอคือ **กองทุนนี้มีความเสี่ยงสูงมาก ระดับ 6 เลยนะครับ** ราคาผันผวนสูง และมีโอกาสปรับตัวลงได้แรงมากๆ ในช่วงที่ตลาดไม่ดี ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนใน กองทุน nasdaq กสิกร หรือกองทุนหุ้นต่างประเทศอื่นๆ ผมอยากให้คุณพิจารณาดังนี้ครับ:

1. **ทำความเข้าใจ:** ศึกษาข้อมูลกองทุนให้ละเอียด อ่านหนังสือชี้ชวน ทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้ชัดเจนที่สุด
2. **ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง:** คุณรับความผันผวนได้แค่ไหน? ถ้าเห็นตัวเลขติดลบ 10-20% หรือมากกว่านั้น จะใจเสียหรือไม่?
3. **กำหนดเป้าหมายและระยะเวลาลงทุน:** เงินที่คุณจะนำมาลงทุน เป็นเงินที่ต้องใช้เมื่อไหร่? ถ้าเป็นการลงทุนระยะยาว 5-10 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงระยะสั้นก็อาจจะมีความสำคัญน้อยลง
4. **จัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะสม:** ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดไปที่กองทุนเดียว ควรมีการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ หรือภูมิภาคอื่นๆ ด้วย เพื่อบริหารความเสี่ยงโดยรวม

สุดท้ายนี้ ขอย้ำเตือนตามหลักการสำคัญของการลงทุนครับ **การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน** บทความนี้เป็นเพียงการรีวิวและให้ข้อมูลตามข้อมูลที่ผมได้รับมา ไม่ถือเป็นการแนะนำให้ซื้อหรือขายหน่วยลงทุนกองทุนใดกองทุนหนึ่งโดยเฉพาะนะครับ การตัดสินใจลงทุนเป็นเรื่องส่วนบุคคล และคุณคือคนที่รู้จักตัวเองดีที่สุด ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีสติ และศึกษาข้อมูลให้รอบคอบครับ!

Leave a Reply