เค อิ พุ่งทะยาน! เปิดตำราลงทุนหุ้นญี่ปุ่นฉบับเข้าใจง่าย

最近เพื่อนซี้ของฉัน “น้องก้อย” ที่เป็นแฟนคลับญี่ปุ่นตัวยง กำลังวางแผนทริปเที่ยวโตเกียวอย่างกระหน่ำ แต่เธอก็ถามขึ้นมาว่า “พี่คะ ทำไมพักนี้เราเห็นข่าว ญี่ปุ่นดูคึกคักจังเลยคะ ทั้งตลาดหุ้นเอย ค่าเงินเอย เหมือนจะกลับมาบูมอีกครั้งเลยนะ”

คำถามของน้องก้อยพาให้ฉันนึกถึงดัชนี “เค อิ” หรือ ดัชนีนิเคอิ 225 ที่ช่วงนี้กำลังเป็นดาวเด่นในวงการการลงทุนเลยทีเดียว ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ “เค อิ” 225 ก็เหมือน “ตัวแทน” ของบริษัทญี่ปุ่นชั้นนำ 225 แห่งที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว เขาก็จะเอาราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้มาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักกัน แล้วก็มีการปรับเปลี่ยนสมาชิกในดัชนีปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าดัชนีนี้ยังคงสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้อย่างถูกต้องและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

แล้วทำไมเจ้า “เค อิ” ถึงได้เป็นที่พูดถึงกันขนาดนี้ล่ะ? ก็เพราะว่าเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ดัชนีนิเคอิ 225 ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยการพุ่งทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 40,097.63 จุด! ใช่แล้วครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก นี่คือระดับสูงสุดในรอบ 34 ปี นับตั้งแต่ปี 2533 เลยทีเดียว ลองนึกภาพดูสิว่าตั้งแต่ต้นปี 2567 มาจนถึงตอนนี้ ดัชนีนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 19% คิดดูสิว่าถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมาตั้งแต่ต้นปี ผลตอบแทนจะหอมหวานขนาดไหน

หลายคนคงอยากรู้ว่า แล้วใครกันบ้างล่ะที่เป็นดาวเด่นอยู่ใน “เค อิ” 225 นี้? ลองนึกภาพบริษัทชื่อดังระดับโลกอย่าง Tokyo Electron ที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์การผลิตชิป ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยียุคนี้ หรือ Fast Retailing เจ้าของแบรนด์ UNIQLO (ยูนิโคล่) ที่เราใส่กันอยู่ทุกวันนี้ บริษัทเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนให้ดัชนีนี้เติบโต นอกจากนี้ยังมี Softbank (ซอฟต์แบงก์) กลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ Shin-Etsu Chemical (ชินเอ็ตสึ เคมีคัล) ผู้นำด้านเคมีภัณฑ์ และ Daikin (ไดกิ้น) เจ้าตลาดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก

ดูเหมือนว่าญี่ปุ่นกำลังเนื้อหอมเป็นพิเศษเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นที่คึกคัก แต่แม้แต่นักลงทุน Private Equity (ไพรเวท อิควิตี้) ระดับโลกอย่าง Carlyle (คาร์ไลล์) เองก็ยังออกมาชื่นชมว่าผลการดำเนินงานของกองทุนในญี่ปุ่นนั้น “ยอดเยี่ยม” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทญี่ปุ่นและการปฏิรูปต่างๆ ที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ผลักดันออกมา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปธรรมาภิบาลองค์กร (Corporate Governance Reforms) ที่ทำให้บริษัทมีความโปร่งใสและบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนให้บริษัทผู้ส่งออกของญี่ปุ่นได้เปรียบในการแข่งขัน ทำให้สินค้าญี่ปุ่นมีราคาที่น่าสนใจในตลาดโลก และส่งผลดีต่อผลประกอบการโดยรวม

เอาล่ะ! พอเห็นแบบนี้ หลายคนคงเริ่มคันไม้คันมือ อยากจะลองกระโดดเข้ามาร่วมวงลงทุนใน “เค อิ” ดูบ้างใช่ไหมล่ะ? ช่องทางที่ง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไปอย่างเราๆ ก็คือ “กองทุนรวม” นั่นเองครับ ซึ่งมีหลายกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Index Tracking (อินเด็กซ์ แทร็กกิ้ง) พูดง่ายๆ ก็คือกองทุนเหล่านี้จะลงทุนตามดัชนีนิเคอิ 225 เลย คือมีสัดส่วนหุ้นต่างๆ คล้ายกับที่อยู่ในดัชนี ไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นเป็นรายตัวให้ปวดหัว แค่เลือกกองทุนที่ถูกใจ แล้วก็ปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนเขาดูแลไป ตัวอย่างกองทุนรวมที่น่าสนใจก็เช่น KFJPINDX-A, SCBNK225 และ SCBNK225D ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายแล้วแต่สไตล์การลงทุนของคุณ

แต่ถ้าใครเป็นสายชอบความตื่นเต้น หรืออยากลองเครื่องมือที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกนิด “Derivative Warrants” (ดีริเวทีฟ วอร์แรนต์) หรือ DW (ดีดับบลิว) ที่อ้างอิงกับ “เค อิ” 225 ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งตอนนี้ในตลาดหลักทรัพย์ไทยก็มีผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง เจ. พี. มอร์แกน เริ่มเสนอขาย DW ที่อ้างอิงดัชนีนี้ถึง 4 รุ่นด้วยกันตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเลยนะครับ DW พวกนี้จะมีทั้งประเภทที่เน้นอัตราทดสูง หรือ “High Leverage” (ไฮ เลเวอเรจ) พูดง่ายๆ คือถ้าดัชนี “เค อิ” ขยับขึ้นไม่มาก กำไรที่ได้จาก DW ก็อาจจะสูงกว่าหุ้นโดยตรงหลายเท่าตัว แต่ถ้าดัชนีลง เราก็จะขาดทุนมากกว่าด้วยเช่นกัน อีกประเภทก็คือประเภทที่มีการเสื่อมถอยของมูลค่าทางเวลา หรือ “Low Time Decay” (โลว์ ไทม์ ดีเคย์) ต่ำ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะเวลาที่นานขึ้นหน่อยและกังวลเรื่องต้นทุนเวลาที่ลดลง

แน่นอนว่าโลกการลงทุนไม่ได้มีแค่เรื่องหุ้นขึ้นอย่างเดียว การเมืองระหว่างประเทศก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ลองนึกภาพข่าวที่ผู้นำรัสเซียกระชับความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือเพื่อแสวงหาการสนับสนุนในสงคราม หรือนายกรัฐมนตรีจีนที่ออกมาบอกว่าความสัมพันธ์กับออสเตรเลียกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ข่าวเหล่านี้แม้จะไม่ได้เกี่ยวกับญี่ปุ่นโดยตรง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของโลกที่เชื่อมโยงถึงกันหมด การลงทุนในเอเชียเองก็ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเหล่านี้ไม่น้อยเลยทีเดียว หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างร้านอาหารในญี่ปุ่นที่กำลังพิจารณาคิดราคาที่สูงขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก็สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่เปลี่ยนไปในระดับมหภาค ซึ่งอาจส่งผลต่อการท่องเที่ยวและภาคบริการของญี่ปุ่นได้เช่นกัน ทุกสิ่งล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจก็ส่งผลต่อตลาดหุ้น

สรุปแล้ว การลงทุนใน “เค อิ” หรือตลาดหุ้นญี่ปุ่นตอนนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่น่าจับตา ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และศักยภาพของบริษัทชั้นนำมากมาย แต่ก่อนจะกระโจนเข้าสู่สนามนี้ ก็เหมือนกับการขับรถนั่นแหละครับ ถนนดีแค่ไหนก็ต้องระวัง ยิ่งเส้นทางที่ดูสวยงามน่าตื่นเต้น ก็ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง มีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ และอย่าลืมเรื่อง “อัตราแลกเปลี่ยนเงินเยน” ที่อาจส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวมของเรา และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นได้เสมอ

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนใน “เค อิ” หรือตลาดหุ้นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะผ่านกองทุนรวม หรือ DW ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน” ทำความเข้าใจลักษณะของสินทรัพย์ที่คุณจะลงทุน ประเมินความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ และ “กระจายความเสี่ยง” อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่สินทรัพย์เดียว หากยังไม่แน่ใจ ลอง “เริ่มต้นจากน้อยๆ” ก่อน เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจตลาด และถ้ามีโอกาส ลอง “ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ” ด้านการลงทุน เพื่อให้ได้ข้อมูลและคำแนะนำที่เหมาะสมกับเป้าหมายและสถานะทางการเงินของคุณที่สุด

⚠️ หากเงินลงทุนของคุณไม่ใช่เงินเย็น หรือสภาพคล่องไม่สูงนัก แนะนำให้ประเมินความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ เพื่อให้การเดินทางในโลกการลงทุนของคุณราบรื่นและปลอดภัยที่สุดครับ.

Leave a Reply