
เพื่อนๆ เคยเห็นข่าว ตลาดหุ้น ฮั่ ง เส็ง มั้ยครับ? หรือเวลาดูข่าวการเงิน อาจจะเคยได้ยินชื่อ “ดัชนี ฮั่งเส็ง” ผ่านๆ หู แล้วสงสัยไหมว่าไอ้เจ้าดัชนีตัวนี้มันคืออะไร สำคัญแค่ไหน ทำไมถึงมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในบ้านเรา หรือแม้แต่ทั่วโลกด้วย วันนี้ในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงินที่พยายามจะเล่าเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อน ก็จะพาไปเจาะลึกเรื่องนี้กันครับ
ลองนึกภาพง่ายๆ ครับว่าถ้าอยากรู้ว่าสุขภาพของตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นยังไง เราก็มี “ตัววัดไข้” หรือ “ตัวแทน” ของตลาดนั้น เจ้า ดัชนี ฮั่งเส็ง นี่แหละคือตัวนั้นเลยครับ เขาถูกตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ (1969) โดยบริษัท ฮั่งเส็ง อินเด็กซ์ จำกัด (Hang Seng Indexes Company Limited) เพื่อติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่มากๆ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange) โดยใช้วิธีคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด พูดง่ายๆ คือ บริษัทไหนใหญ่ มีมูลค่าเยอะ หุ้นตัวนั้นก็จะยิ่งมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากๆ ครับ เหมือนเป็นทีมรวมดาราของตลาดหุ้นฮ่องกงนั่นแหละ ประกอบไปด้วยหุ้นประมาณ ๔๐ ถึง ๗๓ ตัวที่ทรงอิทธิพลสุดๆ ในตลาดนั้น

ช่วงนี้ ตลาดหุ้น ฮั่ ง เส็ง เองก็ดูจะไม่ได้คึกคักเท่าไหร่ครับ เหมือนจะโดนแรงกดดันรอบด้านเลย ไม่ต่างจากตลาดหุ้นในเอเชียหรือยุโรปที่ส่วนใหญ่ก็ปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Wall Street) สาเหตุหลักๆ ที่เห็นเลยก็คือความกังวลเรื่องที่ธนาคารกลางใหญ่ๆ ของโลก อย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เขาเตรียมจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครับ พอนโยบายการเงินตึงตัว เงินในระบบก็น้อยลง ความอยากเสี่ยงของนักลงทุนก็ลดลง หุ้นก็เลยโดนเทขาย นอกจากนี้ สถานการณ์เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ (เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความขัดแย้งต่างๆ) และสภาพเศรษฐกิจของจีนเองก็ยังเป็นประเด็นที่นักลงทุนจับตาดูอยู่ตลอด มีผลกดดันบรรยากาศการลงทุนในฮ่องกงค่อนข้างมากครับ
ถ้าดูจากตัวเลขที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาเนี่ย เจ้า ดัชนี ฮั่งเส็ง ก็มีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างผันผวนครับ มูลค่ามันก็ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา บางวันลดลงนิดหน่อย บางวันก็อาจจะบวกขึ้นมาบ้าง ตัวดัชนีเคยทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ (2018) ที่ระดับ ๓๓,๔๘๔.๐๘ จุดเลยนะครับ สะท้อนว่าช่วงนั้นตลาดคึกคักมากๆ แต่ย้อนกลับไปไกลกว่านั้นอีก ตอนปี พ.ศ. ๒๕๓๐ (1987) ก็เคยทำจุดต่ำสุดเท่าที่เคยมีมาที่ ๑,๘๙๔.๙๐ จุด แสดงให้เห็นเลยว่าตลาดหุ้นมันมีทั้งช่วงขาขึ้นสุดๆ และขาลงแรงๆ เหมือนกันนะ ถ้ามองภาพรวมระยะยาวขึ้นมาหน่อย อย่างในรอบ ๑ ปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีข่าวร้ายมากดดันตลอด แต่ตัวดัชนีเองก็ยังให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกอยู่นะครับ (แม้ข้อมูลจากบางแหล่งอาจจะให้ตัวเลขไม่ตรงกันเป๊ะๆ แต่ทิศทางก็คือบวก) แต่ปัจจัยภายนอกอย่างความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจจะชะลอตัว หรือมาตรการภาษีต่างๆ ก็ยังเป็นประเด็นที่ทำให้ตลาดกังวลอยู่ตลอดเวลา ดัชนีวัดความผันผวน (VIX) ที่ปรับตัวสูงขึ้นก็เป็นอีกสัญญาณที่บอกว่านักลงทุนยังไม่สบายใจเท่าไหร่ครับ

แล้วอะไรอีกล่ะที่มีอิทธิพลต่อ ตลาดหุ้น ฮั่ ง เส็ง? นอกจากเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่นักลงทุนต้องคอยจับตาดูรายงานการประชุมเพื่อหาสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว (ล่าสุดก็มีการปรับขึ้นไป ๐.๒๕ เปอร์เซ็นต์) นโยบายของธนาคารกลางอื่นๆ อย่างธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan – BoJ) ที่บางทีก็ต้องเข้าซื้อพันธบัตรฉุกเฉินเพื่อพยุงผลตอบแทนพันธบัตร ก็มีผลทางอ้อมเหมือนกันครับ ที่สำคัญมากๆ คือเรื่องความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อันนี้เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ถ้ามีข่าวไม่ดีออกมาทีไร ตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมถึงฮ่องกง ก็จะสั่นสะเทือนทุกทีเลยครับ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างความวิตกให้ตลาดได้เหมือนกัน บางครั้งนโยบายภายในของจีนเองก็ส่งผลโดยตรง อย่างข่าวแผนผ่อนคลายข้อจำกัดการซื้อบ้านในเมืองสำคัญๆ ของจีน อย่าง นครกว่างโจว ก็เคยช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงให้ปรับตัวขึ้นมาได้บ้างครับ จะเห็นว่าตลาดนี้ sensitive กับปัจจัยภายนอกและนโยบายต่างๆ มากๆ เลย
ทีนี้ ถ้าเพื่อนๆ ฟังมาถึงตรงนี้แล้วเริ่มสนใจว่า “เอ๊ะ แล้วถ้าอยากลงทุนใน ตลาดหุ้น ฮั่ ง เส็ง ล่ะ ต้องทำยังไง?” บอกเลยว่าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นช่องทางสำคัญมากๆ ในการเข้าไปลงทุนในบริษัทของประเทศจีน โดยเฉพาะหุ้นประเภทที่เรียกว่า H-Shares ครับ หุ้นจีนเนี่ยแบ่งหลักๆ ได้ ๓ ประเภท คือ หุ้น A-Shares (ซื้อขายในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยเงินหยวน ชาวต่างชาติซื้อตรงๆ ยาก), หุ้น B-Shares (ซื้อขายในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยเงินตราต่างประเทศ แต่สภาพคล่องไม่สูง) และ หุ้น H-Shares นี่แหละครับ ที่จดทะเบียนในฮ่องกง ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ฮ่องกง และเป็นที่นิยมของนักลงทุนต่างชาติมากๆ
ถ้าจะเทรดใน ตลาดหุ้น ฮั่ ง เส็ง ก็มีกติกาพื้นฐานที่ต้องรู้หน่อยครับ เวลาซื้อขายปกติคือวันจันทร์ถึงศุกร์ มีช่วงพักกลางวันด้วยนะ สกุลเงินที่ใช้คือดอลลาร์ฮ่องกง หน่วยการซื้อขายขั้นต่ำ (เรียกว่า Board Lot) จะไม่เหมือนบ้านเราเป๊ะๆ ปกติอยู่ที่ ๒,๐๐๐ หุ้น แต่ก็แล้วแต่หุ้นแต่ละตัว บางตัวอาจจะแค่ ๑๐ หุ้น บางตัวเป็นแสนหุ้นก็มี ระยะเวลาชำระราคาคือ ที+๒ ครับ หมายถึงถ้าซื้อหุ้นวันนี้ หุ้นจะเข้ามาอยู่ในพอร์ตเราจริงๆ พร้อมเทรดได้ในอีก ๒ วันทำการถัดไป นอกจากนี้ก็มีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลายรายการเลย ทั้งค่าธรรมเนียมซื้อขาย ค่าธรรมเนียม Transaction Levy ค่าธรรมเนียม Trading Fee ค่าอากรแสตมป์ และยังมีภาษีมูลค่าเพิ่มอีก ๗ เปอร์เซ็นต์ของค่าธรรมเนียมทั้งหมดด้วยนะ อันนี้ต้องศึกษาดีๆ ก่อนเริ่มเทรดครับ
แล้วใน ดัชนี ฮั่งเส็ง มีบริษัทอะไรใหญ่ๆ บ้างล่ะ? ตัวดัชนีประกอบด้วยบริษัทระดับโลกหลายแห่งเลยครับ ที่เราคุ้นชื่อกันดีก็อย่างเช่น บริษัท เทนเซ็นต์ โฮลดิ้งส์ จำกัด (Tencent Holdings Ltd.) เจ้าของแอปฯ ดังๆ ที่เราใช้กัน, ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท อินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า (ICBC) หรือ บริษัท ไชน่า คอนสตรัคชั่น แบงก์ (CCB), บริษัทเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซอย่าง บริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (Alibaba Group Holding Ltd.) หรือแม้แต่บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง บริษัท บีวายดี จำกัด (BYD Company Ltd.) บริษัทเหล่านี้กระจายตัวอยู่ในหลายอุตสาหกรรมหลักๆ เลยครับ ทั้งภาคการเงิน เทคโนโลยี การสื่อสาร พลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนตัวดัชนี หุ้นที่มีผลตอบแทนดีสุดในรอบ ๑ ปีที่ผ่านมา ก็มีอย่าง บริษัท เสียวหมี่ คอร์ปอเรชั่น (Xiaomi Corporation) ที่เราคุ้นเคยกันดีนี่แหละครับ
สรุปแล้ว ตลาดหุ้น ฮั่ ง เส็ง เป็นสนามการลงทุนที่น่าสนใจมากๆ ครับ เพราะเป็นประตูสำคัญในการเข้าถึงบริษัทจีนยักษ์ใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความท้าทายสูงมากเช่นกันจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้เลย ทั้งเรื่องนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ สงครามการค้า สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ หรือแม้แต่สุขภาพเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่เอง
ถ้าเพื่อนๆ กำลังมองหาโอกาสใน ตลาดหุ้น ฮั่ ง เส็ง หรือตลาดต่างประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน หรืออื่นๆ ปัจจุบันก็มีแพลตฟอร์มลงทุนต่างประเทศหลายแห่งที่เปิดให้ซื้อขายได้ครับ อย่างเช่น Moneta Markets หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีหลากหลายให้เลือก ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีเงื่อนไขการเทรด ค่าธรรมเนียม หรือเครื่องมือวิเคราะห์ที่แตกต่างกันไป ก็ลองศึกษาเปรียบเทียบดูครับ
⚠️ คำเตือน: การลงทุนใน ตลาดหุ้น ฮั่ ง เส็ง หรือตลาดต่างประเทศมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนะครับ เพราะนอกจากความเสี่ยงเรื่องราคาหุ้นที่ผันผวนตามปัจจัยต่างๆ แล้ว ยังมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน การเมือง เศรษฐกิจ และข้อกฎหมายของประเทศนั้นๆ อีกด้วย ไม่ควรนำเงินทั้งหมดที่มีมาลงทุน และควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง การกระจายความเสี่ยงไปในหลายๆ สินทรัพย์ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยบริหารความเสี่ยงได้ครับ หากเงินทุนหมุนเวียนไม่สูงมากนัก ควรประเมินความพร้อมของตัวเองและรับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อนเสมอครับ