“`html
เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่า นอกจากตลาดหุ้นบ้านเราแล้ว ยังมีตลาดหุ้นที่ไหนน่าสนใจอีกบ้าง? ถ้าพูดถึงตลาดหุ้นใหญ่ๆ ในเอเชีย ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตา หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อ “**ตลาดหุ้นฮ่องกง**” แน่นอน และหัวใจของตลาดนี้ก็คือ ดัชนีฮั่งเส็ง หรือ หุ้น hang seng ที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ นั่นแหละครับ
ช่วงนี้หลายคนอาจจะเห็นข่าวว่าตลาดหุ้นทั่วโลกดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั้งในยุโรปและเอเชียพากันปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังจากที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ เองก็ร่วงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อน ทำเอานักลงทุนหลายคนเริ่มหวั่นๆ เหมือนกัน เพราะความกังวลเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางใหญ่ๆ ทั่วโลกนี่แหละครับ ที่เป็นตัวกดดันบรรยากาศการลงทุนพอสมควร

ลองดูตัวเลขสิครับ ดัชนีหุ้นโลกโดยรวมลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งเดือนเลยทีเดียว แถมดัชนีวัดความกลัวของตลาด หรือที่เรียกว่า VIX Index ก็พุ่งขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดของปีอีกต่างหาก บรรยากาศแบบนี้ มันชวนให้คิดถึงวันที่ฝนตกหนักแล้วรถติดๆ หาแท็กซี่ยากจริงๆ ครับ คือมันดูหม่นๆ ไม่ค่อยสะดวกสบายใจเท่าไหร่
สำหรับเอเชียเอง ตลาดหุ้นหลายๆ แห่งก็เจอแรงเทขายไม่แพ้กัน ดัชนี MSCI เอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) ก็ลงไปแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมเลย ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นเองอย่างดัชนีนิกเคอิก็ปรับลดลง เป็นผลงานที่แย่ที่สุดในรอบประมาณหนึ่งเดือนทีเดียว และแน่นอนว่า ตลาดหุ้นฮ่องกง ของเราก็อยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบนี้ด้วย
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ดัชนีฮั่งเส็ง หรือ หุ้น hang seng ถึงได้ลงมาใกล้เคียงภาวะปรับฐาน (Correction) ช่วงนี้? สาเหตุหลักๆ ก็มาจากความกังวลเรื่องสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ หรือประเด็นการเมืองระหว่างประเทศต่างๆ รวมถึงข้อสงสัยเรื่องความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน ที่ถึงแม้จะมีสัญญาณบวก แต่ก็ยังมีบางมุมที่ต้องเฝ้าระวังครับ
ย้อนกลับไปดูที่ต้นตอความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยนิดนึง นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตาดูรายงานการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า “เฟด” (Fed) อย่างใกล้ชิดเลยครับ เพราะถึงแม้ครั้งล่าสุดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแค่ 0.25% แต่รายงานการประชุมนี้น่าจะให้เบาะแสเพิ่มเติมว่าเฟดมีแผนจะขึ้นดอกเบี้ยไปอีกแค่ไหนและเร็วแค่ไหน ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเนี่ย มันส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินและมุมมองการลงทุนโดยรวม ทำให้หุ้นดูน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือลงทุนในพันธบัตรครับ

ในขณะที่เฟดกำลังจับตาเรื่องเงินเฟ้อและดอกเบี้ย ทางฝั่งเอเชียเองก็มีเรื่องน่าสนใจ อย่างธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ประกาศเข้าซื้อพันธบัตรแบบฉุกเฉิน เพื่อพยายามควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่พุ่งทะลุเพดาน 0.5% ที่ BOJ กำหนดไว้ นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่าสภาวะการเงินทั่วโลกยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงจริงๆ
ทีนี้กลับมาที่ฮ่องกง แม้ว่างบประมาณที่รัฐมนตรีคลัง Paul Chan นำเสนอออกมาล่าสุดจะเป็นแผนที่ค่อนข้างระมัดระวังการใช้จ่าย เพื่อรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่งก็อาจจะทำให้บางคนที่หวังว่าฮ่องกงจะใช้นโยบายเชิงรุกมากขึ้นเพื่อทวงคืนสถานะศูนย์กลางทางการเงินผิดหวังไปบ้าง แต่ข้อดีที่น่าจับตามากๆ คือท่าทีของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยังคงแสดงความชัดเจนในการสนับสนุนให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง แถม ก.ล.ต. จีน ก็ยังสนับสนุนให้บริษัทชั้นนำของจีนเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงมากขึ้น และปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับธุรกิจเทคโนโลยีในการระดมทุนผ่าน IPO ในฮ่องกง นี่เป็นปัจจัยบวกสำคัญที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ ตลาดหุ้นฮ่องกง และ ดัชนีฮั่งเส็ง ในระยะยาวเลยครับ
เอาล่ะ พูดถึง ดัชนีฮั่งเส็ง มาพักใหญ่ เรามาทำความรู้จักกับพระเอกของเราให้มากขึ้นกันดีกว่าครับ ตลาดหุ้นฮ่องกง เนี่ย ถือเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นชั้นนำของเอเชียเลยนะ แถมยังเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ติด 10 อันดับแรกของโลกด้วย (ข้อมูล ณ พ.ย. 2566 มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 172 ล้านล้านบาท!) ที่สำคัญคือ เป็นที่นิยมมากๆ สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่อยากลงทุนในบริษัทจีนชั้นนำจริงๆ อย่าง Alibaba, Tencent, หรือ Xiaomi ที่เราคุ้นชื่อกันดี เพราะบริษัทเหล่านี้หลายแห่งเลือกมาจดทะเบียนในฮ่องกงครับ

แล้ว ดัชนีฮั่งเส็ง หรือ หุ้น hang seng คืออะไร? มันก็คือดัชนีที่สะท้อนราคาตลาดของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงนั่นเองครับ เปรียบเสมือนการรวมตัวของ “บิ๊กเนม” ในตลาดหุ้นฮ่องกง จัดทำขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1969 โดย Hang Seng Bank และปัจจุบันบริหารโดยบริษัทลูกที่ชื่อ Hang Seng Indexes ครับ
แรกเริ่มเดิมที ดัชนีฮั่งเส็ง มีหุ้นที่เป็นส่วนประกอบแค่ 33 ตัว เพิ่มเป็น 52 ตัว แล้วก็ขยับมาเรื่อยๆ ปัจจุบันมี 82 ตัวแล้วนะ และเขาก็มีแผนจะเพิ่มจำนวนหุ้นในดัชนีให้เป็น 100 ตัวในระยะยาวด้วย เพื่อให้ดัชนีมีความหลากหลายมากขึ้น และสะท้อนภาพรวมของตลาดได้ดียิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงสัดส่วนของบริษัทฮ่องกงแท้ๆ ไว้ประมาณ 20-25 ตัว เพื่อไม่ให้เสียเอกลักษณ์ไปครับ
ดัชนีนี้จะให้น้ำหนักกับบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) สูงๆ ครับ แปลง่ายๆ คือ บริษัทไหนใหญ่ หุ้นเยอะ มูลค่าตลาดเยอะ ก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากนั่นเอง แล้วก็มีการทบทวนรายชื่อหุ้นที่อยู่ในดัชนีทุกๆ ไตรมาสด้วยนะ
ถ้าเจาะลึกไปอีกนิด เราจะพบว่า ดัชนีฮั่งเส็ง ค่อนข้างจะกระจุกตัวอยู่ในบางภาคส่วนครับ เช่น ภาคการเงินที่กินสัดส่วนประมาณ 40% และภาคพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมที่ประมาณ 30% ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเหล่านี้จึงมีผลอย่างมากต่อทิศทางของดัชนีนั่นเอง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผันผวนของ ดัชนีฮั่งเส็ง ก็มีหลายอย่าง ทั้งสภาวะเศรษฐกิจโลก (โดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ), เหตุการณ์ทางการเมือง (ทั้งในฮ่องกงเองและในจีนแผ่นดินใหญ่), อัตราดอกเบี้ย (ซึ่งธนาคารกลางฮ่องกงมักจะอิงกับทิศทางของเฟดสหรัฐฯ เพราะค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐฯ), อัตราแลกเปลี่ยน, และก็นโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี การค้า หรือการลงทุน ทำให้ หุ้น hang seng อาจมีความผันผวนสูงในช่วงที่เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน แต่ในระยะยาวก็ยังถือเป็นดัชนีที่น่าเชื่อถือและสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นชั้นนำในเอเชียได้ดีครับ
แล้วถ้านักลงทุนอย่างเราๆ อยากจะลงทุนใน ดัชนีฮั่งเส็ง ล่ะ ทำได้ยังไงบ้าง? ไม่ยากเลยครับ มีเครื่องมือหลายแบบให้เลือก
1. **สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures):** อันนี้อาจจะซับซ้อนหน่อย เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และความเข้าใจในตลาดอนุพันธ์สูง เพราะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง (เช่น สัญญา HSI Futures ที่มีการซื้อขายอยู่)
2. **กองทุนรวม (Funds):** อันนี้เป็นวิธีที่นิยมสำหรับนักลงทุนทั่วไปในไทย เพราะมี บลจ. หลายแห่งที่ออกกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนหรือหุ้นเอเชีย ซึ่งก็มักจะมีหุ้นใน ดัชนีฮั่งเส็ง เป็นส่วนประกอบหลัก หรือบางกองทุนอาจจะไปลงทุนในหุ้นจีนชั้นนำที่จดทะเบียนในฮ่องกงโดยตรงเลย อย่างกองทุน MEGA10CHINA-A ที่เน้นลงทุนใน 10 บริษัทจีนทรงอิทธิพลที่อยู่ในฮ่องกง ซึ่งกองทุนนี้ตั้งแต่ต้นปี (ณ วันที่ข้อมูลมีอยู่) ก็ทำผลตอบแทนไปแล้วกว่า 11.72% ชนะทั้ง HSI และ MSCI All China เลยนะ โดยมีหุ้นเด่นๆ อย่าง Alibaba, Tencent, BYD (รถยนต์ไฟฟ้า), Baidu (Search/AI) อยู่ในพอร์ตด้วย
* มุมมองจาก FundTalk Call ที่เราอ้างอิงได้ ก็ยังมองหุ้นจีนและกองทุน MEGA10CHINA-A ว่า “ยังชอบ” ครับ ให้คำแนะนำเข้าลงทุนตั้งแต่ ม.ค. 2024 โดยมองว่าความเชื่อมั่นของตลาดที่ค่อยๆ กลับมาจะเป็นจุดเปลี่ยน และคาดว่ากำไรของบริษัทในตลาดหุ้นจีนจะโตได้ถึง 15-20% ซึ่งมองว่าระดับ P/E ที่ 7 เท่า (ซึ่งถือว่าถูกมากๆ) ถือเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนครับ เขาแนะนำว่า ถ้ามีอยู่แล้วให้ “ถือ” ต่อไป แต่ถ้าจะเข้าลงทุนใหม่ ให้ “พิจารณาเข้าลงทุนอีกครั้ง” หาก ดัชนีฮั่งเส็ง สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ (เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างหนึ่งครับ)
3. **ตราสารที่ประกอบอยู่ในดัชนี (Components):** คือการเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่อยู่ใน ดัชนีฮั่งเส็ง นั่นแหละครับ เหมาะกับคนที่ชอบวิเคราะห์หุ้นรายตัว แต่ก็ต้องศึกษาข้อมูลค่อนข้างเยอะ และต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ
4. **ETF (Exchange Traded Funds):** หรือกองทุนเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เปรียบเสมือนตะกร้าหุ้นที่เคลื่อนไหวตามดัชนีที่เราสนใจ สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่งเลยครับ ในฮ่องกงเองมี ETF ที่อ้างอิง ดัชนีฮั่งเส็ง โดยตรงที่เรียกว่า Tracker Fund of Hong Kong (รหัส 2800.HK) ซึ่งเป็น ETF ระดับตำนานตัวแรกที่รัฐบาลฮ่องกงจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1999 และบริหารโดย Hang Seng Investment Management ครับ เป็น ETF ที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในฮ่องกงเลย มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) หลายแสนล้านบาท และมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงมากๆ นอกจากนี้ก็ยังมี ETF หุ้นจีนอื่นๆ ที่น่าสนใจให้ศึกษาอีกหลายตัวตามข้อมูลที่เรามี
5. **DR (Depositary Receipts):** อันนี้เป็นเครื่องมือที่ “สะดวกที่สุด” สำหรับนักลงทุนไทยมากๆ ครับ เพราะเป็นการนำหุ้นหรือ ETF ในต่างประเทศมาเสนอขายในตลาดหุ้นไทยในรูปของเงินบาท โดยผู้ออก DR (เช่น บล.บัวหลวง ที่ออก DR “HK01”) จะไปซื้อ ETF ที่อ้างอิง ดัชนีฮั่งเส็ง ในฮ่องกง แล้วนำมาแบ่งเป็นหน่วยเล็กๆ ขายให้นักลงทุนไทยในรูปเงินบาท ข้อดีคือ ซื้อขายง่ายผ่านแอป Streaming ที่เราคุ้นเคย ใช้เงินลงทุนน้อย (เพราะอัตราอ้างอิงมักจะแบ่งหน่วยย่อยกว่า), สั่งคำสั่งเป็นบาทได้เลย, รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างเงินปันผล และสามารถติดตามและซื้อขายได้ตามเวลาที่ตลาดต่างประเทศเปิดทำการ
สำหรับ DR “HK01” เนี่ย มีหลักทรัพย์อ้างอิงคือ Tracker Fund of Hong Kong (2800.HK) โดยมีอัตราอ้างอิง 1 หน่วย DR ต่อ 5 หน่วย ETF ในฮ่องกงครับ ทำให้ราคา DR “HK01” เคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคา Tracker Fund of Hong Kong ETF ในระยะยาว ผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุนใน DR ก็มาจากกำไรส่วนต่างราคา (ซึ่งได้รับยกเว้นภาษี) และเงินปันผลหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับ (หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว) ช่วงเวลาที่เหมาะกับการซื้อขาย DR “HK01” ก็คือช่วงที่ตลาดหุ้นไทยและฮ่องกงเปิดพร้อมกันนั่นเองครับ (ประมาณ 10:00-11:00 น. และ 12:00-15:00 น. ตามเวลาประเทศไทย)
**⚠️ คำเตือนความเสี่ยงที่ต้องอ่านอย่างตั้งใจนะครับ:**
การลงทุนในตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิทัลมีความเสี่ยงสูงมาก รวมถึงความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนไปบางส่วนหรือทั้งหมด การลงทุนเหล่านี้อาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะราคาของเงินดิจิทัลที่แปรปรวนอย่างมากและได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมากมาย ทั้งด้านการเงิน กฎหมาย และการเมือง ส่วนการซื้อขายโดยใช้มาร์จิน (Margin Trading) ยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินให้สูงขึ้นไปอีก
ดังนั้น ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อขายอะไรก็ตาม ควรที่จะตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องให้ดี ควรศึกษาวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเอง ระดับประสบการณ์ และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และที่สำคัญ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อขอคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ครับ
ข้อมูลต่างๆ ที่เรานำเสนอในบทความนี้ ไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงเสมอไป ข้อมูลและราคาอาจมาจากผู้ดูแลสภาพคล่อง ไม่ใช่จากตลาดหลักทรัพย์โดยตรง ราคาที่เห็นอาจไม่เที่ยงตรงหรือแตกต่างจากราคาจริงในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นเพียงราคาชี้นำเท่านั้น Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆ (เช่น TradingView, Investing.com เป็นต้น) ไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการสูญเสียใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายหรือจากการพึ่งพาข้อมูลในบทความนี้ รวมถึงข้อมูลทางเทคนิคและบทวิเคราะห์ที่อ้างอิงมาด้วย
**สรุปส่งท้าย:**
ดัชนีฮั่งเส็ง หรือ หุ้น hang seng ยังคงเป็นหนึ่งในดัชนีที่น่าจับตาสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทชั้นนำของจีน แม้ว่าช่วงนี้ตลาดจะมีความผันผวนจากความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยและปัจจัยภายนอกต่างๆ แต่สัญญาณสนับสนุนจากรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ก็เป็นปัจจัยบวกที่น่าสนใจในระยะยาวครับ
สำหรับนักลงทุนไทย การลงทุนใน ดัชนีฮั่งเส็ง ทำได้ง่ายขึ้นมากผ่านเครื่องมืออย่าง DR “HK01” แต่ไม่ว่าจะเลือกเครื่องมือไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้อง “ทำการบ้าน” ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจความเสี่ยง และลงทุนในจำนวนเงินที่ยอมรับความสูญเสียได้เท่านั้นนะครับ อย่าลืมว่าไม่มีการลงทุนใดที่ปราศจากความเสี่ยงครับ
“`