หุ้น DJI พุ่งแรง! ลงทุนตามเทรนด์อเมริกา ต้องรู้ก่อนพลาด

ช่วงนี้หลายคนคงได้ยินข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นอเมริกาที่คึกคักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะดัชนีหลักๆ ที่พากันปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นที่หลายคนจับตาคือ หุ้น dji หรือ ดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรม (Dow Jones Industrial Average) ที่เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ในตลาดหุ้นมะกัน แล้วเจ้าดัชนีนี้มันคืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และมีอะไรน่ารู้บ้างในสถานการณ์ตอนนี้ เหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งที่เพิ่งถามมาว่า “ช่วงนี้เห็นข่าวหุ้น dji ขึ้นเอาขึ้นเอา ตลาดหุ้นอเมริกาเขามีอะไรดีเหรอ น่าลงทุนไหม?” บทความนี้จะชวนมาหาคำตอบกันแบบสบายๆ สไตล์คุยกันในร้านกาแฟ

ถ้าให้พูดถึงภาพรวมตลาดหุ้นอเมริกาในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมที่เพิ่งจะจบไปนี่ ต้องบอกว่าเหมือนตลาดกำลังจัดปาร์ตี้เลยทีเดียว ดัชนีหลักๆ พากันปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งมากๆ ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) ที่เป็นตัวแทนของหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐฯ ปรับขึ้นไปถึง 6.15% นับเป็นผลงานรายเดือนที่ดีที่สุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2566 โน่นเลย ส่วนดัชนี Nasdaq Composite (แนสแด็ก คอมโพสิต) ที่เต็มไปด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจ๋าๆ ก็พุ่งแรงไม่แพ้กัน ขึ้นไปถึง 9.56% ซึ่งก็เป็นผลงานรายเดือนที่ดีที่สุดนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2566 เช่นกัน แถมยังบวกติดต่อกันหลายเดือนแล้วด้วย แม้แต่ดัชนี Russell 2000 (รัสเซลล์ 2000) ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐฯ ก็ปรับขึ้น 5.2% ในเดือนที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่การปรับขึ้นไม่ได้กระจุกตัวแค่หุ้นใหญ่ๆ เท่านั้น

แล้ว หุ้น dji ล่ะ เป็นไงบ้าง? ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรมก็ปรับขึ้นมาถึง 3.94% ซึ่งก็ถือว่าแข็งแกร่งไม่แพ้กัน ถ้ามองภาพแคบลงมาหน่อยแค่สัปดาห์ล่าสุด ดัชนีหลักๆ ก็ยังคงปรับขึ้นต่อเนื่อง โดย S&P 500 บวกไป 1.88%, Nasdaq บวก 2.01%, และ หุ้น dji บวกไป 1.6% ถือเป็นสัปดาห์ที่บวกติดต่อกันสองสัปดาห์ในรอบสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เลยนะ แต่พอเข้าสู่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฟิวเจอร์สของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ดูจะย่อตัวลงมาเล็กน้อย ทั้ง S&P 500 Futures (เอสแอนด์พี 500 ฟิวเจอร์ส), Nasdaq 100 Futures (แนสแด็ก 100 ฟิวเจอร์ส), และ Dow Jones Industrial Average Futures (ดาวโจนส์ อินดัสเทรียล แอเวอเรจ ฟิวเจอร์ส) ปรับลดลงราว 0.3% เท่าๆ กัน นี่อาจจะบอกเราว่า ตลาดที่วิ่งมาแรงๆ อาจจะขอพักหายใจบ้าง หรือกำลังรอปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาขับเคลื่อน

เจาะลึกมาที่พระเอกของเราอย่าง หุ้น dji กันหน่อย ดัชนีนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือเป็นดัชนีแบบถ่วงน้ำหนักด้วยราคา (price-weighted index) ไม่ได้ถ่วงด้วยมูลค่าตลาดเหมือน S&P 500 หรือ Nasdaq ซึ่งหมายความว่า หุ้นที่มีราคาต่อหุ้นสูงกว่าจะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่า แม้ว่าจะมีมูลค่าตลาดโดยรวมน้อยกว่าก็ตาม หุ้น dji ประกอบไปด้วยหุ้นบลูชิพ 30 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและมั่นคงในอุตสาหกรรมต่างๆ จากทั้งตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) หุ้นเหล่านี้มักถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Value Stock (หุ้นกลุ่มคุณค่า) มากกว่า Growth Stock (หุ้นกลุ่มเติบโต) แบบพวกบริษัทเทคโนโลยีฮาร์ดคอร์ หุ้น 10 อันดับแรกที่มีน้ำหนักสูงสุดในดัชนีนี้กินสัดส่วนไปกว่าครึ่ง (52.83%) ของมูลค่าดัชนีทั้งหมดเลยนะ อย่างเช่น United Health Group (ยูไนเต็ด เฮลท์ กรุ๊ป), Goldman Sachs (โกลด์แมน แซคส์), หรือ Microsoft (ไมโครซอฟท์)

สถานะล่าสุดของ หุ้น dji อยู่ที่ประมาณ 40,326 จุด มีการปรับลดลงเล็กน้อย -0.29% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่ถ้าดูกรอบเวลาที่ยาวขึ้น จะเห็นว่าในสัปดาห์ล่าสุดบวก 1.50% แต่ในเดือนล่าสุดกลับลดลง -2.35% ซึ่งก็น่าจะสะท้อนการพักตัวหลังเดือนพฤษภาคมที่วิ่งขึ้นแรงๆ ไปแล้ว แต่ถ้ามองภาพใหญ่ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา หุ้น dji ยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกที่ 5.19% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา มีหุ้นหลายตัวที่ทำผลงานได้ดีมากๆ อย่าง Walmart (วอลมาร์ท) ที่ราคาเพิ่มขึ้นถึง 59.59% ส่วนตัวที่อ่อนแอสุดก็มีอย่าง Nike (ไนกี้) ที่ราคาลดลงไปถึง -39.07% จะเห็นว่าแม้ในดัชนีเดียวกัน ก็ยังมีหุ้นที่ผลงานแตกต่างกันไปเยอะเลยนะ

การลงทุนในดัชนี หุ้น dji โดยตรงน่ะทำไม่ได้นะ แต่ถ้าอยากลงทุนตามความเคลื่อนไหวของดัชนีนี้ เราสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ลงทุนผ่าน DJI Futures (ดีเจไอ ฟิวเจอร์ส), กองทุนรวมที่อิงดัชนีนี้, หรือเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีเอาเองก็ได้ ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Morgan Stanley (มอร์แกน สแตนลีย์) ยังคงมองว่าตลาดอาจจะแกว่งตัวในกรอบระยะหนึ่ง ซึ่งมุมมองนี้ก็สอดคล้องกับที่เห็นว่าฟิวเจอร์สย่อลงเล็กน้อยช่วงสุดสัปดาห์นี้ และเขามองว่าปัจจัยเรื่องภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตลาดน่าจะรับรู้และสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นแล้วในระดับหนึ่ง

พูดถึงเรื่องภาษีนำเข้าแล้ว สถานการณ์การค้าสหรัฐฯ-จีนตอนนี้ยังคงเป็น “หนังคนละม้วน” หรือ “เปิดๆ ปิดๆ” ไม่แน่นอนเลยนะ มีทั้งข่าวดี ข่าวร้ายสลับไปมา ก่อนหน้านี้มีคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่สั่งยกเลิกภาษีส่วนใหญ่ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยประกาศใช้ไปเมื่อเดือนเมษายน แต่ไม่ทันไร ศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางก็มีคำสั่งชะลอคำตัดสินของศาลการค้าฯ ไว้ชั่วคราว ทำให้ภาษีเหล่านั้นกลับมามีผลอีกครั้ง อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เองก็ออกมากล่าวหาจีนว่า “ละเมิด” ข้อตกลงการค้าอย่างสิ้นเชิง และขู่ว่าจะขึ้นภาษีให้สูงขึ้นไปอีก ขณะที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ในปัจจุบันก็แสดงความมั่นใจว่าศาลจะยืนยันความถูกต้องของภาษีนำเข้าเหล่านี้ ความตึงเครียดทางการค้านี้ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง

นอกจากเรื่องภาษีแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่างสัปดาห์นี้ก็มีรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ที่เป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อการคาดการณ์เรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ด้วย ส่วนผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม อย่าง Dell Technologies (เดลล์ เทคโนโลยีส์) เพิ่งรายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ออกมาแบบผสมผสาน ยอดขายดีกว่าคาด แต่กำไรพลาดเป้าหน่อย แต่เขาก็คาดการณ์ว่าไตรมาส 2 จะดีขึ้น ส่วน Costco (คอสต์โค) ก็รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดทั้งยอดขายและกำไรเลย

อีกประเด็นที่น่าสนใจมากๆ คือการที่ดัชนี S&P 500 ได้เพิ่ม Coinbase Global (คอยน์เบส โกลบอล) ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับคริปโทเคอร์เรนซี (สกุลเงินดิจิทัล) เข้ามาเป็นสมาชิกในดัชนี นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ส่งสัญญาณว่าวงการการเงินหลักๆ เริ่มเปิดรับและยอมรับคริปโทฯ มากขึ้น แต่มันก็เหมือนเหรียญสองด้านนะ การมี Coinbase เข้ามาในดัชนีหลักอาจจะเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 ได้สัมผัสกับผลตอบแทนที่อาจจะสูงกว่าหุ้นแบบเดิมๆ และเป็นการเข้าถึงคริปโทฯ ได้ทางอ้อม แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็เพิ่มความผันผวนและความเสี่ยงด้านกฎหมายให้กับดัชนีด้วย เพราะราคาคริปโทฯ อย่างบิทคอยน์มีความผันผวนสูงมาก และยังมีความไม่แน่นอนด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคริปโทฯ อยู่พอสมควร แม้ Coinbase จะมีสัดส่วนน้ำหนักใน S&P 500 แค่น้อยมากๆ (ประมาณ 0.11%) แต่ความเคลื่อนไหวของหุ้นตัวนี้ก็อาจส่งผลกระทบต่อนักลงทุนในกองทุนดัชนีได้โดยตรงนะ ที่น่าคิดคือ แม้บิทคอยน์กับ S&P 500 จะมีความสัมพันธ์กันพอสมควร (correlation ระยะยาวประมาณ 0.38) และสัมพันธ์สูงขึ้นในช่วงตลาดตื่นตระหนก แต่คริปโทฯ ก็ยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็น “สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง” (hedge asset) ให้กับตลาดหุ้นได้ตามที่บางคนคาดหวังไว้ตั้งแต่แรก

กลับมาเปรียบเทียบดัชนีหลักๆ ของสหรัฐฯ อีกครั้ง อย่าง หุ้น dji ที่เป็นตัวแทนหุ้น Value, Nasdaq ที่เป็นตัวแทนหุ้น Growth เทคโนโลยี, และ S&P 500 ที่เป็นภาพรวมตลาด ถ้าดูในอดีตช่วงต้นปี 2564 ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและมีการฉีดวัคซีน ดัชนี หุ้น dji ซึ่งมีหุ้นกลุ่ม Value เป็นส่วนใหญ่ กลับทำผลตอบแทนได้ดีกว่าและมีความผันผวนต่ำกว่าทั้ง Nasdaq และ S&P 500 เสียอีกนะ ในช่วง 1 มกราคม 2564 ถึง 18 พฤษภาคม 2564 หุ้น dji ให้ผลตอบแทน 12.16% และมีความผันผวน 13.14% ขณะที่ Nasdaq ให้ผลตอบแทนแค่ 3.29% แต่มีความผันผวนถึง 23.45% ส่วน S&P 500 ให้ผลตอบแทน 10.84% และมีความผันผวน 19.32% นี่แสดงให้เห็นว่าในบางช่วงเวลา หุ้นกลุ่ม Value ที่อยู่ใน หุ้น dji ก็สามารถนำตลาดและเป็นหลุมหลบภัยได้ดีกว่าหุ้นกลุ่ม Growth ที่ผันผวนสูง แล้วคุณล่ะ ชอบรสชาติไหนของตลาดหุ้นอเมริกา?

สำหรับนักลงทุนในไทยที่สนใจอยากจะ “เกาะกระแส” ตลาดหุ้นอเมริกา โดยเฉพาะ หุ้น dji ที่กำลังเป็นที่พูดถึง ก็มีเครื่องมือที่น่าสนใจอย่าง DW (Derivative Warrant หรือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์) ที่อิงดัชนี หุ้น dji ยกตัวอย่างเช่น DJI41 จากค่าย JPM (เจพีมอร์แกน) DW เหล่านี้ช่วยให้เราลงทุนตามความเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์ได้สะดวกขึ้น เพราะซื้อขายได้ในตลาดหุ้นไทยเลย (ช่วงเวลา 10:00 – 16:30 น.) การเคลื่อนไหวของราคา DW หุ้น dji เหล่านี้จะอิงตามสัญญา E-mini Dow Jones Industrial Average Futures (E-mini Dow Futures หรือ สัญญาอีมินิ ดาวโจนส์) ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ซื้อขายกันเกือบตลอด 23 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้ราคา E-mini Dow Futures สะท้อนข่าวสารและปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ เอเชีย (อย่างจีน) และยุโรป ข้อควรรู้คือ DW เหล่านี้มีวันหมดอายุนะ ซึ่งวันซื้อขายสุดท้ายของ DJI DW41 มักจะตรงกับวันซื้อขายสุดท้ายของสัญญา E-mini Dow Futures คือวันศุกร์ที่สามของเดือนสุดท้ายในแต่ละไตรมาส (มีนาคม มิถุนายน กันยายน ธันวาคม) การใช้ DW ช่วยเพิ่ม “Gearing” หรืออัตราทดในการลงทุน ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้สูงขึ้นหากทิศทางตลาดเป็นไปตามที่คาด แต่ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นตามไปด้วย และยังมีปัจจัยเรื่อง Time Decay (มูลค่าลดลงตามกาลเวลา) ที่ต้องพิจารณาด้วย

สรุปแล้ว ตลาดหุ้นอเมริกาตอนนี้ยังอยู่ในช่วงที่น่าจับตา มีทั้งโมเมนตัมการปรับขึ้นที่ดีในระยะสั้น-กลาง โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ทั้ง S&P 500, Nasdaq และ หุ้น dji ต่างก็ทำผลงานได้โดดเด่น แต่ก็ยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ นอกจากนี้ การที่ S&P 500 รับ Coinbase เข้ามาก็เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่มทั้งโอกาสและความผันผวนให้กับดัชนีหลัก สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจ หุ้น dji หรือตลาดหุ้นอเมริกา ก็มีเครื่องมือหลากหลายให้เลือกใช้ ทั้งกองทุนรวม หรือเครื่องมืออย่าง DW ซึ่งแต่ละอย่างก็มีลักษณะและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป

สิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุนคือ “รู้เขารู้เรา” ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจลักษณะของดัชนีแต่ละตัว (อย่าง หุ้น dji ที่เน้น Value หรือ Nasdaq ที่เน้น Tech) รวมถึงเครื่องมือการลงทุนที่คุณเลือกใช้ ว่ามันทำงานอย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบ และที่สำคัญคือ เข้าใจระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้

⚠️ คำเตือนความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและเงินดิจิตอลมีความเสี่ยงสูง อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมด และไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน ราคาเงินดิจิตอลมีความผันผวนสูงและขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก การซื้อขายด้วยมาร์จินยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรพิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากจำเป็น ข้อมูลที่ได้รับอาจไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงเสมอไป และอาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องซึ่งแตกต่างจากราคาจริงในตลาด ข้อมูลนี้เป็นเพียงราคาชี้นำเท่านั้น Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการสูญเสียใดๆ ที่เกิดจากการซื้อขายหรือการพึ่งพาข้อมูลที่นำเสนอ ห้ามคัดลอก จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือแจกจ่ายข้อมูลในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือผู้ให้ข้อมูล

Leave a Reply