หุ้นดาวโจนส์อเมริกาผันผวน? กระทบพอร์ตไทยยังไง? ไขทุกข้อสงสัย!

เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ติดตามเรื่องราวการเงินการลงทุนอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้คงได้ยินข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นอเมริกา หรือที่เรียกติดปากว่า ตลาดวอลล์สตรีท กันบ่อยๆ ใช่ไหมครับ โดยเฉพาะชื่อ หุ้นดาวโจนส์อเมริกา นี่แหละ ที่โผล่มาเป็นหัวข้อข่าวใหญ่ๆ อยู่เสมอ บางวันก็พุ่งเอาๆ จนน่าใจหาย บางวันก็ดิ่งลงไปดื้อๆ จนใจตกไปอยู่ตาตุ่ม มันเกิดอะไรขึ้น แล้วเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราที่อยู่เมืองไทย วันนี้ในฐานะคนเล่าเรื่องการเงิน ผมจะพาไปทำความเข้าใจแบบสบายๆ ไม่ต้องปวดหัวครับ

ลองนึกภาพตามนะครับว่า หุ้นดาวโจนส์อเมริกา เนี่ย เปรียบเสมือนตัววัดอุณหภูมิร่างกายของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครับ ดัชนีนี้ (Dow Jones Industrial Average หรือ DJI) เขาเอาราคาหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ชั้นนำ 30 แห่งในอเมริกามาคำนวณ ซึ่งแต่เดิมเป็นบริษัทอุตสาหกรรมล้วนๆ แต่ปัจจุบันก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มีทั้งบริษัทเทคโนโลยี การเงิน และอื่นๆ ปนอยู่ด้วย การที่ดัชนีนี้ขึ้นหรือลง มันก็เหมือนกำลังบอกเราว่า “ตอนนี้เศรษฐกิจอเมริกาภาพรวมแข็งแรงดีนะ” หรือ “ตอนนี้ดูเหมือนจะมีไข้ ไม่สบายตัวนะ” ประมาณนั้นเลยครับ

ช่วงที่ผ่านมาเนี่ย เจ้า หุ้นดาวโจนส์อเมริกา เนี่ย มันเหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกาเลยครับ มีทั้งขาขึ้นและขาลงแบบน่าหวาดเสียว จำได้ไหมครับช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้ว (หมายถึงปี 2025 ตามข้อมูลที่ให้มานะครับ) ดัชนีนี้เคยร่วงลงไปกว่า 1,100 จุดในวันเดียวก็มี จนนักวิเคราะห์หลายคนออกอาการกังวลว่า ใกล้จะหลุดระดับ 38,000 จุดแล้วนะ อะไรที่ทำให้มันเป็นแบบนั้น? หลักๆ เลยคือความกลัวเรื่อง “สงครามการค้า” ครับ

เรื่องสงครามการค้าเนี่ย มันก็เหมือนการทะเลาะกันเรื่องภาษีนำเข้าของสองประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ กับจีนนี่แหละครับ พอสองชาตินี้งัดข้อกัน ประกาศขึ้นภาษีใส่กันไปมา นักลงทุนก็กลัวว่าการค้าทั่วโลกจะชะงักงัน บริษัทต่างๆ จะทำมาหากินลำบาก รายได้จะลดลง ความกลัวนี้แหละที่ทำให้คนแห่เทขายหุ้น จนดัชนีต่างๆ รวมถึง หุ้นดาวโจนส์อเมริกา ร่วงกราวรูดลงมา ยิ่งถ้าประธานาธิบดีอย่างคุณทรัมป์ (ที่ข้อมูลบอกว่าจะเข้าสู่สมัยที่ 2) ประกาศมาตรการภาษีที่สร้างความไม่แน่นอนอีก ตลาดก็ยิ่งปั่นป่วน บางทีการที่ท่านออกมาพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) เองก็สร้างความกังวลให้นักลงทุนได้เหมือนกันครับ เรื่องการเมืองและนโยบายรัฐบาลนี่มีผลจริงๆ นะครับ

แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข่าวร้ายนะครับ ตลาดก็มีช่วงเวลาดีๆ เหมือนกันนะ อย่างช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (ปี 2025) หุ้นดาวโจนส์อเมริกา และดัชนีอื่นๆ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq (ซึ่งก็เป็นดัชนีหุ้นใหญ่ๆ ของอเมริกาเหมือนกัน S&P 500 มี 500 บริษัทใหญ่ ส่วน Nasdaq ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยี) ก็เคยปรับตัวขึ้นมาได้สวยงามเลยทีเดียว อะไรที่ช่วยหนุนตลาดล่ะ? ส่วนหนึ่งมาจาก “ตัวเลขเศรษฐกิจ” ของอเมริกาที่ออกมาดีเกินคาดครับ

ลองคิดดูนะ ถ้าตัวเลขคนว่างงานน้อยลง (คนมีงานทำเยอะขึ้น) ยอดขายสินค้าคงทน (พวกของที่ซื้อแล้วใช้ได้นานๆ เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า) สูงกว่าที่คาดการณ์ หรือยอดขอสวัสดิการว่างงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน รวมถึงตัวเลขการใช้จ่ายของคนทั่วไปที่เพิ่มขึ้น พวกนี้มันบอกอะไร? มันบอกว่าคนอเมริกันยังมีกำลังซื้อ มีความมั่นใจในเศรษฐกิจ พอคนมีกำลังซื้อ บริษัทก็ขายของได้ดี รายได้เยอะ พอรายได้เยอะ “ผลประกอบการ” ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่ก็ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ อย่างพวกธนาคารใหญ่ๆ (เช่น แบงก์ ออฟ อเมริกา, มอร์แกน สแตนลีย์) บริษัทเทคโนโลยี (อย่างกลุ่ม Magnificent Seven ที่ข้อมูลบอกว่าได้รับแรงซื้อคึกคักจากผลประกอบการและกระแส AI เช่น เทสลา, เมตา, อินวิเดีย, อัลฟาเบท, ไมโครซอฟท์, แอปเปิ้ล, อะเมซอน) หรือแม้แต่สายการบิน (อเมริกัน แอร์ไลน์) พอบริษัทใหญ่ๆ ทำกำไรได้ดี หุ้นพวกนี้ราคาพุ่งขึ้น ก็ช่วยดันให้ดัชนีรวมอย่าง หุ้นดาวโจนส์อเมริกา และเพื่อนๆ ขึ้นตามไปด้วยครับ ช่วงสิ้นปี 2024 ที่ผ่านมา ข้อมูลก็บอกว่าดัชนีหลักทั้ง 3 ตัวของสหรัฐฯ พุ่งสูงเอามากๆ เลยนะ ดาวโจนส์ขึ้นไป 13%, S&P 500 พุ่ง 23%, ส่วน Nasdaq ที่เป็นหุ้นเทคฯ เยอะหน่อย พุ่งไปถึง 29% เลยทีเดียว S&P 500 นี่ยังทำผลตอบแทนบวกสูงกว่า 20% สองปีติดกันเลยนะ (ปี 2023 และ 2024) ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลย

นอกจากปัจจัยในประเทศของสหรัฐฯ แล้ว ปัจจัยภายนอกก็มีผลไม่น้อยเลยครับ โดยเฉพาะ “ธนาคารกลาง” ของประเทศใหญ่ๆ อย่าง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หรือ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางจีน (PBOC) การตัดสินใจเรื่อง “อัตราดอกเบี้ย” หรือมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (แบบที่เคยทำตอนเกิดวิกฤติ ที่เรียกว่า คิวอี หรือ QE) ของพวกเขามีผลต่อสภาพคล่องในระบบการเงินโลก และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกครับ อย่างช่วงหนึ่งที่ ECB ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ก็ช่วยหนุนตลาดหุ้นในยุโรป ซึ่งเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย

แล้วเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับตลาดหุ้นไทยล่ะ? แน่นอนว่าเกี่ยวครับ! โลกยุคนี้เชื่อมต่อกันหมด ตลาดหุ้นบ้านเราเองก็ได้รับอิทธิพลจากตลาดหุ้นใหญ่ๆ อย่างอเมริกาอยู่เสมอครับ เวลา หุ้นดาวโจนส์อเมริกา ขึ้นแรง ตลาดหุ้นไทยก็มักจะปรับตัวขึ้นตามไปด้วยได้บ้าง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่เรียกว่า “Global Play” หรือหุ้นที่ธุรกิจเชื่อมโยงกับการค้าโลก หรือหุ้นกลุ่มพลังงาน (เช่น น้ำมัน) ที่ราคาอิงกับตลาดโลกครับ อย่างช่วงที่มีข่าวดีเรื่องข้อตกลงการค้าชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตลาดหุ้นไทยก็เคยปรับตัวขึ้นตอบรับข่าวดีนี้มาแล้ว แต่ในทางกลับกัน ถ้า หุ้นดาวโจนส์อเมริกา ดิ่งเหว จากความกังวลเรื่องสงครามการค้า หรือเศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัว ตลาดหุ้นไทยก็หนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบและปรับตัวลงตามไปด้วยครับ แถมตลาดหุ้นไทยเราเองยังมีปัจจัยภายในมากดดันอยู่ด้วย เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเติบโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นี่ก็เป็นตัวถ่วงตลาดหุ้นไทยอยู่เหมือนกัน

นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ ที่เราควรจับตาดูในตลาดโลก ก็มีอย่าง “ราคาทองคำ” ที่มักถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” คือเวลาที่โลกมีเรื่องไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ปัญหาการเมือง หรือวิกฤติเศรษฐกิจ นักลงทุนจะหันไปซื้อทองคำ ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้น แต่ถ้าสถานการณ์คลี่คลาย ความกลัวลดลง คนก็จะเทขายทองคำไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าแทน ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงครับ เหมือนช่วงที่มีความคืบหน้าเรื่องการค้า ราคาทองคำก็ปิดลบไปช่วงหนึ่ง ส่วน “ราคาน้ำมัน” ก็ผันผวนไปตามอุปสงค์อุปทาน อย่างถ้าสหรัฐฯ ประกาศว่ามีสต็อกน้ำมันดิบในคลังเยอะขึ้น ก็แปลว่ามีน้ำมันพร้อมใช้เยอะ อาจจะเกิดความกังวลว่าน้ำมันล้นตลาด ราคาน้ำมันก็มีแนวโน้มปรับตัวลงครับ และสุดท้ายคือ “ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ” อันนี้ก็แกว่งไปมาตามปัจจัยหลายอย่าง ทั้งข่าวการค้า ตัวเลขเงินเฟ้อ และที่สำคัญคือท่าทีของประธานเฟดครับ

เอาล่ะครับ เล่ามาถึงตรงนี้ หวังว่าคงพอจะเห็นภาพรวมว่าทำไมเราถึงควรต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของ หุ้นดาวโจนส์อเมริกา และตลาดหุ้นสหรัฐฯ กันนะครับ มันไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเหมือนดัชนีชี้วัดสุขภาพของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก รวมถึงบ้านเราด้วยครับ

ตลาดหุ้นก็เหมือนทะเลนะครับ มีทั้งช่วงคลื่นลมสงบ และช่วงที่ต้องเจอพายุลูกใหญ่ การที่ หุ้นดาวโจนส์อเมริกา และตลาดหุ้นอื่นๆ ผันผวนขึ้นลง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนอย่างเราคือ ไม่ต้องตกใจกับความผันผวนรายวันมากเกินไปครับ พยายามมองภาพใหญ่ ทำความเข้าใจว่าปัจจัยอะไรกำลังขับเคลื่อนตลาดอยู่ ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน (อย่างที่เราทำความเข้าใจกันวันนี้แหละครับ) และที่สำคัญคือต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงของการลงทุนครับ

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว การปรับตัวขึ้นลงของตลาดในระยะสั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากนัก แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่เน้นซื้อขายระยะสั้น หรือใช้เครื่องมือที่มีความเสี่ยงสูงอย่างเช่น การซื้อขายสัญญา CFD ที่อิงกับดัชนีต่างๆ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (อย่างเช่น Moneta Markets หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่มีให้บริการ ซึ่งมีข้อเสนอและเงื่อนไขการซื้อขายที่แตกต่างกันไป) ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เข้าใจหลักการ Leverage (การใช้เงินทุนน้อยเพื่อควบคุมมูลค่าการซื้อขายที่สูงกว่า) และการบริหารความเสี่ยงให้ดีครับ เพราะการลงทุนเหล่านี้สามารถทำกำไรได้เร็ว แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงมากเช่นกัน

⚠️ คำเตือน: การลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ นักลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน หรือหากมีข้อจำกัดด้านเงินทุน หรือยังไม่เข้าใจตลาดดีพอ การประเมินความพร้อมของตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดครับ อย่าเพิ่งรีบร้อนกระโดดเข้าสู่ตลาดเพียงเพราะเห็นข่าวว่าตลาดกำลังขึ้นแรง หรือกลัวว่าจะตกรถนะครับ ศึกษาให้ดีก่อนเสมอครับ

Leave a Reply