ช่วงนี้ดูเหมือนตลาดหุ้นทั่วโลกจะไม่ค่อยมีวันไหนให้ได้พักหายใจหายคอกันสบายๆ เลยนะครับ โดยเฉพาะตลาดใหญ่ๆ อย่างที่นิวยอร์ก ซึ่งมีดัชนีชี้วัดสำคัญอย่าง หุ้นดาวโจนส์ เป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจอเมริกาและของโลกให้เราฟัง

ถ้าใครติดตามข่าวสารมาตลอด จะเห็นว่าช่วงวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นนิวยอร์กทั้งสามดัชนีหลัก ทั้ง หุ้นดาวโจนส์ S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดบวกกันไปเล็กน้อย แม้ว่าจะมีข่าวคราวที่ทำให้หลายคนต้องขมวดคิ้วเกี่ยวกับเรื่องการค้าโลกและสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนก็ตาม
เอ๊ะ… แล้วทำไมตลาดถึงบวกได้ล่ะ ในเมื่อดูเหมือนจะมีเรื่องให้กังวล? นี่แหละครับที่ทำให้ตลาดหุ้นช่วงนี้ซับซ้อนน่าดู มันเหมือนมีหลายปัจจัยดึงกันไปดึงกันมา ลองนึกภาพว่าตลาดหุ้นเป็นคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่กลางสี่แยก แล้วมีคนจากสี่ทิศตะโกนบอกให้ไปทางนู้นทางนี้พร้อมๆ กัน สุดท้ายเขาก็อาจจะแค่ขยับไปข้างหน้านิดเดียวแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก
ปัจจัยใหญ่ที่เข้ามากวนใจตลาดรอบนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องเก่าอย่าง “สงครามการค้า” ที่ดูเหมือนจะปะทุขึ้นมาอีกระลอกครับ รอบนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาประกาศเปรี้ยงเดียวว่าจะเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกับอะลูมิเนียมจากจีนจาก 25% เป็น 50% เลยนะ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ฟังดูแล้วน่าตกใจใช่ไหมครับ มาตรการนี้เขาบอกว่าทำเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศตัวเอง
แน่นอนว่าจีนก็ไม่ยอมง่ายๆ ครับ กระทรวงพาณิชย์จีนออกมาโต้ทันควันว่าข้อกล่าวหาของทรัมป์ที่ว่าจีนละเมิดข้อตกลงการค้านั้น “ไม่มีมูลความจริง” เลยสักนิด แถมยังบอกว่าสหรัฐฯ นั่นแหละที่กำลังใช้มาตรการกีดกันทางการค้าแบบเลือกปฏิบัติกับจีนหลายอย่าง ทั้งการระงับการขายซอฟต์แวร์ออกแบบชิป การควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือแม้แต่การเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีนบางส่วน จีนมองว่ามาตรการเหล่านี้เป็นการยั่วยุฝ่ายเดียว และทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าของทั้งสองประเทศไม่แน่นอน พร้อมประกาศด้วยว่าจะเตรียมใช้มาตรการตอบโต้ที่แข็งกร้าวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเต็มที่
เรื่องนี้ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นโดยตรงเลยครับ โดยเฉพาะกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเหล็กและอะลูมิเนียม หรืออุตสาหกรรมที่ใช้ของพวกนี้เยอะๆ อย่างเช่น พวกบริษัทรถยนต์ หุ้นของ ฟอร์ด (Ford) กับ เจเนอรัล มอเตอร์ส (General Motors) ในอเมริกาปรับตัวลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด ส่วนในยุโรป กลุ่มยานยนต์อย่าง สเตลแลนติส (Stellantis), เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz), บีเอ็มดับเบิลยู (BMW), โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ก็โดนหางเลขไปด้วยจากความกังวลเรื่องนี้ นอกจากนี้หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่พึ่งพาการส่งออกไปทั่วโลกในยุโรปก็ลดลงเช่นกัน ตรงข้ามกับหุ้นบริษัทเหล็กในอเมริกาอย่าง เคลฟแลนด์ คลิฟฟ์ส (Cleveland-Cliffs), สตีล ไดนามิกส์ (Steel Dynamics), นูคอร์ (Nucor) ที่ราคาพุ่งสูงขึ้นรับข่าวนี้ไป
แต่ถึงจะมีข่าวร้ายเรื่องการค้ามากดดัน ตลาด หุ้นดาวโจนส์ และตลาดหุ้นอื่นๆ ในอเมริกาก็ยังสามารถปิดบวกได้เล็กน้อยในวันนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนักลงทุนกำลังชะลอการตัดสินใจเพื่อรอดู “ตัวเลขเศรษฐกิจ” ที่สำคัญมากๆ ของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมาตลอดสัปดาห์ ซึ่งรวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพฤษภาคมด้วย ตัวเลขพวกนี้มีความสำคัญมากเพราะมันจะบอกเราได้ว่าเศรษฐกิจอเมริกายังแข็งแรงดีอยู่ไหม ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ในอนาคต

พูดถึงนโยบายการเงิน นักลงทุนก็กำลังจ้องไปที่ “คุณนายแบงก์ชาติ” แห่งยุโรปอย่าง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ด้วยครับ พวกเขาจะมีการแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 นี้ ซึ่งการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น ECB หรือ เฟด เป็นปัจจัยที่กำหนดทิศทางตลาดได้ในระยะสั้นมากๆ ครับ
นอกจากข้อมูลเรื่องการจ้างงานที่กำลังรออยู่ ก็มีข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ออกมาแล้วบางส่วน เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ประจำเดือนพฤษภาคม จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) ที่ออกมาหดตัวลงมาอยู่ที่ 48.5 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ตัวเลขที่ต่ำกว่า 50 แปลว่าภาคการผลิตกำลังหดตัวนะครับ แม้ว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายจาก S&P Global จะยังอยู่เหนือ 50 แต่ก็ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย ข้อมูลพวกนี้บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของอเมริกายังต้องเจอความท้าทายอยู่
ไหนๆ ก็พูดถึง หุ้นดาวโจนส์ มาเยอะแล้ว มาทำความรู้จักกับดัชนีนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อยนะครับ หลายคนอาจจะเรียกสั้นๆ ว่า “ดาวโจนส์” ซึ่งมักจะหมายถึง “ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์” หรือ DJIA นี่แหละครับ เป็นดัชนีตลาดหุ้นแรกๆ และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้ ตอนแรกๆ เขาเน้นไปที่หุ้นบริษัทอุตสาหกรรมหนักๆ แต่ปัจจุบันก็รวมบริษัทที่เน้นสินค้าอุปโภคบริโภคเข้ามามากขึ้นครับ ดัชนีนี้ประกอบไปด้วยหุ้นของ 30 บริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกา ตอนที่ข่าวล่าสุดออกมาวันที่ 3 มิถุนายน 2568 นั้น หุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ 42,305.48 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 35.41 จุด หรือคิดเป็น +0.08% ครับ ถ้าดูย้อนหลังไปหน่อย จะเห็นว่า หุ้นดาวโจนส์ เคยทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 45,073.63 จุด เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2024 ด้วยนะ ส่วนบริษัทที่มีราคาหุ้นสูงที่สุดในดัชนีนี้ก็อย่างเช่น GS, UNH, MSFT เป็นต้น ส่วนตัวดัชนีเองนั้นเราไม่สามารถไปซื้อขายได้โดยตรง แต่เราสามารถลงทุนในตราสารที่อ้างอิงดัชนี หรือซื้อหุ้นของบริษัทที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีได้ครับ

สรุปแล้วตอนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง หุ้นดาวโจนส์ ยังอยู่ในโหมด “รอดูสถานการณ์” อยู่ครับ ปัจจัยหลักที่ต้องจับตาคือ เรื่องความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนว่าจะไปในทิศทางไหน การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสำคัญๆ อย่าง ECB รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ของสหรัฐฯ ที่จะออกมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ปัจจัยเหล่านี้จะกำหนดอารมณ์ของตลาดในช่วงนี้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ
แล้วในฐานะนักลงทุนรายย่อย เราควรทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้? สิ่งสำคัญที่สุดคือการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้านครับ เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในตลาดโลก และปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบ อย่าเพิ่งตื่นตูมตกใจไปกับข่าวใดข่าวหนึ่งมากเกินไป ควรพิจารณาข้อมูลหลายๆ ด้านก่อนตัดสินใจ และที่สำคัญมากๆ ที่ต้องจำไว้คือเรื่องความเสี่ยงครับ
⚠️ การเปิดเผยความเสี่ยงที่สำคัญมากๆ:
การซื้อขายตราสารทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟิวเจอร์ส หรือแม้แต่เงินดิจิทัล มีความเสี่ยงสูงมากๆ นะครับ คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้เลย ราคาของสินทรัพย์พวกนี้มีความผันผวนสูงมาก ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกสารพัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ กฎหมาย หรือการเมือง อย่างที่เราเห็นจากกรณีสงครามการค้านี่แหละครับ
ถ้าคุณเลือกที่จะซื้อขายโดยใช้มาร์จิน หรือเงินกู้ยืมมาลงทุน ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวครับ
ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม ควรทำความเข้าใจกับความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ พิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุนของคุณ ระดับประสบการณ์ และที่สำคัญที่สุดคือ ระดับการยอมรับความเสี่ยงของคุณเองว่ารับการขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่แน่ใจ ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ
ข้อมูลต่างๆ ที่คุณเห็นบนเว็บไซต์ หรือจากแหล่งข่าวต่างๆ อาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์หรือแม่นยำเสมอไปนะครับ ราคาอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดได้ ผู้ให้ข้อมูลหรือแพลตฟอร์มต่างๆ จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายของคุณ หรือจากการที่คุณตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลเหล่านั้นแต่เพียงอย่างเดียว
อย่าลืมว่าข้อมูลต่างๆ ที่มีลิขสิทธิ์ เช่น ข้อมูลตลาด ห้ามนำไปใช้ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งต่อ หรือแจกจ่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาดครับ
จำไว้เสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนครับ ถ้าคุณมีเงินทุนจำกัด หรือสภาพคล่องไม่สูงนัก การศึกษาและทำความเข้าใจตลาดอย่างละเอียดก่อนที่จะลงมือทำอะไร เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเลยครับ อย่าเพิ่งรีบตามกระแส แต่ให้ทำความเข้าใจสถานการณ์จริงๆ ก่อน