หุ้นดาวน์โจนส์ผันผวน: โอกาสหรือกับดัก? ต้องรู้ก่อนลงทุน!

สวัสดีครับ ในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงินรุ่นเก๋าที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องใกล้ตัว ผมจะจัดการข้อมูลที่คุณให้มาให้กลายเป็นบทความภาษาไทยที่อ่านสนุก เข้าใจง่าย เหมือนนั่งคุยกับเพื่อนข้างบ้าน แต่เนื้อหาแน่นปึ้กตามหลัก EEAT และมีกลิ่นอาย SEO ของคำว่า “หุ้นดาวโจนส์” ด้วยนะครับ พร้อมแล้วลุยเลย!

สวัสดีครับทุกท่านที่ติดตามเรื่องราวการเงินการลงทุน วันนี้ผมมีเรื่องชวนคุยที่กำลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวงการตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดฝั่งอเมริกาที่เรียกว่าทรงอิทธิพลสุดๆ อย่าง “หุ้นดาวน์โจนส์” (Dow Jones) ที่หลายคนน่าจะคุ้นชื่อกันดี ช่วงนี้ตลาดค่อนข้างผันผวน มีทั้งปัจจัยบวก ปัจจัยลบ เข้ามาสลับกันให้ปวดหัวเล่น แต่ถ้าเราลองมองภาพใหญ่ให้ชัดขึ้น เราจะเห็นถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความผันผวนนั้นครับ

คุณอาจจะเพิ่งเห็นข่าวว่าหุ้นดาวน์โจนส์เพิ่งปรับตัวขึ้นมาได้สวยๆ เลย โดยเฉพาะเมื่อวันอังคารต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดัชนีสำคัญของอเมริกาอย่าง ดาวโจนส์ (Dow Jones), S&P 500 และ Nasdaq ปิดบวกกันหมดเลยนะครับ ตัวหลักๆ ที่ช่วยผลักดันตลาดรอบนี้หนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มชิป ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะกระแสเรื่อง AI หรือปัญญาประดิษฐ์นี่มาแรงแซงทุกโค้งจริงๆ ทำให้หุ้นอย่าง Nvidia, Broadcom หรือ Micron Technology พุ่งเอาๆ จนฉุดดัชนีขึ้นไปได้ นอกจากปัจจัยเรื่องหุ้นรายตัวแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจของอเมริกาที่ออกมาดีเกินคาดก็เป็นอีกแรงหนุนสำคัญครับ

ถ้าลองมองย้อนกลับไปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (สิ้นสุด 3 มิ.ย.) หุ้นดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นถึง 3.4% ส่วน S&P 500 ขึ้นไป 5.3% และ Nasdaq พุ่งแรงสุด 7.2% ครับ ถ้ามองภาพใหญ่ตั้งแต่ต้นปี 2024 มาถึงตอนนี้ ผลตอบแทนของหุ้นดาวโจนส์อยู่ที่ประมาณ 13% ส่วน S&P 500 นี่บวกไปแล้ว 23% และ Nasdaq นี่พุ่งกระฉูด 29% เลยทีเดียว โดยเฉพาะ S&P 500 นี่เรียกว่าบวกเกิน 20% สองปีติดแล้ว แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกอย่างจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะยังมีเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่ นั่นคือ “ความไม่แน่นอนทางการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนนี่แหละครับ ที่ยังคงเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนโดยรวม

เรื่องสงครามการค้าหรือความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจอย่างอเมริกาและจีนนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ช่วงนี้มันกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งครับ ล่าสุดท่านอดีตประธานาธิบดีทรัมป์แกประกาศแผนจะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม แล้วก็กล่าวหาจีนว่าไม่ทำตามข้อตกลงทางการค้าบ้างล่ะ จีนเองก็ออกมาโต้แย้งทันควันว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูลความจริง มาตรการของสหรัฐฯ เป็นการยั่วยุฝ่ายเดียว ฟังแล้วก็เหมือนหนังเรื่องเดิมกลับมาฉายใหม่นะครับ แต่ที่น่าจับตาคือจะมีกำหนดการพูดคุยกันระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งตลาดก็หวังว่าจะเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นครับ

ความไม่แน่นอนเรื่องการค้านี้มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่เลยนะครับ ลองนึกภาพตามว่าถ้าบริษัทต่างๆ ไม่มั่นใจว่าสินค้าที่ผลิตหรือนำเข้าจะโดนภาษีเพิ่มเมื่อไหร่ จะค้าขายกันอย่างไร มันก็กระทบไปหมดตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม การจ้างงาน คำสั่งซื้อสินค้า ไปจนถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนโดยรวม แม้ว่าหุ้นดาวน์โจนส์จะยังไปต่อได้จากแรงหนุนอื่น แต่ประเด็นนี้ก็เป็นเหมือนดาบที่ห้อยอยู่เหนือตลาดพร้อมจะตกใส่ได้ตลอดเวลา

นอกจากเรื่องการค้าแล้ว สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาไม่แพ้กันคือ “นโยบายการเงิน” ของธนาคารกลางใหญ่ๆ ครับ อย่างที่อเมริกา ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (FED) ก็กำลังชั่งน้ำหนักว่าจะลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่ดี คุณราฟาเอล บอสติก (Raphael Bostic) ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา เพิ่งออกมาให้ความเห็นว่ามีแนวโน้มที่จะเห็นการลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดก็ยังรอลุ้นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพฤษภาคมที่จะประกาศในวันศุกร์นี้อย่างใจจ่อ เพราะตัวเลขนี้จะเป็นเหมือนสัญญาณสำคัญที่บอกทิศทางตลาดแรงงานของอเมริกา ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของเฟดมากๆ

ขณะเดียวกัน ที่ฝั่งยุโรป ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ดูเหมือนจะเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วกว่าเฟดครับ เพราะอัตราเงินเฟ้อของยุโรปค่อนข้างต่ำกว่าเป้าหมายแล้ว ตลาดคาดการณ์กันแทบจะ 100% ว่า ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมที่จะถึงนี้ (ในสัปดาห์นี้เอง) ซึ่งถ้าลดจริง ดอกเบี้ยก็จะลงมาอยู่ที่ 2% และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็มองว่า ECB น่าจะลดดอกเบี้ยเพิ่มอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) ภายในสิ้นปีนี้ รวมแล้วก็น่าจะลดไป 3 ครั้งในปีนี้ครับ ที่น่าสนใจคือ ECB เขาเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 7 ครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว แสดงให้เห็นทิศทางการผ่อนคลายที่ชัดเจนกว่าฝั่งอเมริกา

มาดูตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงนี้บ้าง ตัวเลขตำแหน่งงานว่างของอเมริกา (ที่เรียกว่า JOLTS) เดือนเมษายนออกมาเพิ่มขึ้นเกินคาด แปลว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง อัตราการเลิกจ้างงานก็เพิ่มขึ้นด้วยเหมือนกันครับ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากเรื่องภาษีที่ทำให้ธุรกิจบางประเภทต้องปรับตัว ส่วนคำสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนเมษายนก็ลดลงไปถึง 3.7% ซึ่งก็อาจจะมาจากที่หลายบริษัทเร่งสั่งซื้อไปแล้วในช่วงก่อนหน้าเพื่อเลี่ยงภาษีที่จะปรับขึ้น นี่ก็เป็นภาพที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจอเมริกายังคงมีทั้งจุดแข็งและจุดที่น่ากังวลปะปนกันไปครับ

ไม่เพียงเท่านั้น องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD เองก็เพิ่งปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลง โดยให้เหตุผลหลักว่าเป็นผลกระทบจากนโยบายการค้าของอเมริกาที่ส่งผลต่อการลงทุนและความเชื่อมั่น โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตชะลอตัวลงในปีนี้และปีหน้า เมื่อเทียบกับปีก่อนที่โตได้ถึง 2.8% ทาง OECD ก็ได้เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ เร่งทำข้อตกลงเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าลง เพราะมันเริ่มส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกแล้วครับ

นอกเหนือจากดัชนีภาพรวมอย่างหุ้นดาวน์โจนส์ หรือเรื่องใหญ่ๆ อย่างการค้าและนโยบายการเงิน ก็ยังมีข่าวหุ้นรายตัวที่น่าสนใจหลายตัวเลยครับ อย่างหุ้น Wells Fargo ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ ก็ปิดบวกได้ดีหลังเฟดยกเลิกข้อจำกัดบางอย่าง ส่วนหุ้น Kenvue ที่ทำผลิตภัณฑ์สุขภาพ ก็ร่วงลงไป เพราะร้านค้าปลีกชะลอการสต็อกสินค้าจากความไม่แน่นอนเรื่องภาษี แต่หุ้น Dollar General ที่เป็นร้านค้าปลีกแบบลดราคา กลับพุ่งขึ้นแรงมาก เพราะยอดขายและเป้าหมายออกมาดีกว่าคาด หุ้น Pinterest ที่เป็นแพลตฟอร์มโซเชียล ก็เพิ่มขึ้นหลัง JPMorgan แนะนำให้อัปเกรด หรือหุ้น UBS ธนาคารจากสวิตเซอร์แลนด์ก็พุ่งแรงหลัง Jefferies ปรับคำแนะนำขึ้น ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มยานยนต์อย่าง Ford และ General Motors ก็ร่วงลงจากข่าวเรื่องภาษีเหล็ก/อะลูมิเนียม ขณะที่หุ้นกลุ่มชิป/เทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Broadcom และ Micron Technology ยังคงเป็นดาวเด่น พุ่งแรงอย่างต่อเนื่องจากกระแส AI ที่ยังไม่แผ่ว และผลประกอบการหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่น่าจับตา นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นนั้นซับซ้อน มีทั้งภาพรวมที่ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยมหภาค และความเคลื่อนไหวเฉพาะตัวของแต่ละบริษัทครับ

สรุปแล้ว ช่วงนี้ตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นดาวน์โจนส์ หรือตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ก็กำลังเต้นไปตามจังหวะของปัจจัยหลักๆ สามเรื่อง คือ หนึ่ง…พลังของกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ที่ยังคงแข็งแกร่ง สอง…ความไม่แน่นอนจากประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสาม…ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญๆ ที่กำลังส่งสัญญาณผ่อนคลาย ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่มีทั้งแง่บวกและแง่ลบปะปนกัน

สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ การติดตามข่าวสารเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ครับ มันช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรกำลังขับเคลื่อนตลาดอยู่ และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้

⚠️ **ข้อแนะนำส่งท้าย:** ตลาดหุ้นยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุนเสมอ หากคุณเป็นนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้น หรือมีเงินลงทุนจำกัด การศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ การกระจายความเสี่ยง และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการทุ่มเงินในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งโดยไม่ศึกษาข้อมูลให้เพียงพอครับ อย่าลืมว่าเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การตัดสินใจที่ดีที่สุดคือการตัดสินใจที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความเสี่ยงที่คุณรับได้ครับ

Leave a Reply