
ช่วงนี้เพื่อนๆ หลายคนคงจะเห็นข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นญี่ปุ่นบ่อยๆ ใช่ไหมครับ? โดยเฉพาะชื่อ ‘นิกเคอิ’ ที่พุ่งเอาๆ ทำนิวไฮไม่หยุดหย่อน เพื่อนผมคนนึงถึงกับทักมาถามว่า ‘เฮ้ย! หุ้นญี่ปุ่นมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมวิ่งดีจัง เราลงทุนได้ไหมเนี่ย?’
คำถามเพื่อนผมสะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นใน ‘ตลาดหุ้นญี่ปุ่น’ ครับ และถ้าพูดถึงตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตัวชี้วัดที่ดังที่สุดก็หนีไม่พ้น ‘ดัชนี Nikkei 225’ (Nikkei 225 index) หรือที่บางคนเรียกว่า ‘นิ เค อิ 225’ นั่นเองครับ เจ้าดัชนีนี้เหมือนเป็นตัวแทนหมู่บ้านของบริษัทชั้นนำ 225 แห่งในญี่ปุ่นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange – TSE) มันถูกคำนวณจากราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้น 225 ตัวนี้ทุกๆ 5 วินาทีเลยนะ อัปเดตตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียด้วยนะ สะท้อนภาพรวมของบริษัท ‘บลูชิพ’ (Blue chip) หรือบริษัทใหญ่ๆ ชั้นดี มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นนั่นแหละครับ ถ้าดัชนีตัวนี้ขึ้น ก็แปลว่าภาพรวมของบริษัทใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นส่วนใหญ่กำลังไปได้ดี
แล้วบริษัท 225 แห่งนี้มีใครบ้างล่ะ? ดัชนีนี้เขาไม่ได้เลือกมาแบบสุ่มๆ นะครับ แต่กระจายตัวอยู่ใน 36 อุตสาหกรรมหลักๆ แบ่งเป็น 6 หมวดใหญ่ๆ เลย เพื่อให้สะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจริงๆ ไม่ได้กระจุกอยู่แค่ไม่กี่อย่าง เขาจะมีการประเมินและปรับเปลี่ยนรายชื่อหุ้นในดัชนีเป็นประจำทุกปีด้วยนะ เพื่อให้แน่ใจว่ายังคงเป็นตัวแทนของบริษัทชั้นนำที่มีสภาพคล่องดี และมีความสมดุลของอุตสาหกรรมอยู่
แต่ถ้าลองดูสัดส่วนตามหมวดหมู่ (จากข้อมูลประมาณปลายปี 2565) ดีๆ จะเห็นว่ามีกลุ่มที่ ‘น้ำหนัก’ เยอะเป็นพิเศษ นั่นก็คือ กลุ่มเทคโนโลยีครับ! ข้อมูลบอกว่า กลุ่มเทคโนโลยีมีสัดส่วนเกือบ 50% ของดัชนีเลยนะ โดยมีบริษัทในกลุ่มนี้ถึง 59 บริษัทที่อยู่ในดัชนี ลองคิดดูสิว่าถ้าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีญี่ปุ่นวิ่งดี ดัชนี ‘นิ เค อิ’ ก็มีโอกาสวิ่งตามไปด้วยสูงมาก เพราะกลุ่มนี้มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากที่สุด รองลงมาก็เป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ที่มีสัดส่วนประมาณ 23-24% แน่นอนว่ายังมีกลุ่มอื่นๆ ด้วย ทั้งกลุ่มวัสดุ สินค้าทุนและการผลิต การเงิน ขนส่งและสาธารณูปโภค เรียกว่าค่อนข้างหลากหลาย แต่ก็แอบเทไปทางเทคฯ หน่อยๆ นั่นเองครับ ส่วนบริษัทใหญ่ๆ ที่มีน้ำหนักเยอะๆ ในดัชนี (อย่างข้อมูลช่วงกลางปี 2567) ก็เป็นชื่อที่คุ้นเคยกันดี อย่าง บริษัท ฟาสท์ รีเทลลิ่ง จำกัด (เจ้าของร้าน Uniqlo ที่เราเดินช้อปกันนั่นแหละครับ!), ซอฟท์แบงก์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (ที่ลงทุนในบริษัทเทคฯ ทั่วโลก), บริษัท โตเกียว อิเล็คตรอน จำกัด (ผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์) อะไรพวกนี้ ก็เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของดัชนีเลยล่ะครับ จะเห็นได้ว่าดัชนีนี้รวมเอาสุดยอดบริษัทของญี่ปุ่นไว้จริงๆ

ทีนี้มาดูกันที่ ‘ผลงาน’ ของ ‘หุ้น ญี่ปุ่น’ ในช่วงที่ผ่านมา ทำไมมันถึงฮอตขนาดนี้? โอ้โห! ถ้าดูจากตัวเลข ‘ดัชนี Nikkei 225’ นี่คือพุ่งขึ้นแบบต่อเนื่องเลยครับ ทำสถิติใหม่ในรอบหลายปี แถมล่าสุดในปี 2567 นี้ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปแล้ว! จำได้ไหมครับ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 ดัชนีทะลุระดับสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ตั้งแต่ปี 2532 (โอ้โห! 30 กว่าปีที่แล้วนะ นานมากๆ) ทำเอาฮือฮากันทั้งตลาด เป็นการลบล้างสถิติเดิมที่ยืนยงมาอย่างยาวนาน แล้วมีนาคม 2567 นี่ยิ่งกว่าอีก ดัชนีทะลุระดับ 40,000 เยนไปเลย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ ‘นิ เค อิ’! มันแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดในรอบนี้จริงๆ ครับ
แม้จะมีวันที่แกว่งๆ ย่อลงบ้างเป็นระยะ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้น แต่ภาพรวมถือว่าแข็งแกร่ง อย่างข้อมูลล่าสุด (ณ วันที่ที่มีข้อมูลในมือ) ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2567 ดัชนีก็ยังบวกไปแล้วกว่า 14% นะครับ! ถ้าเทียบกับดัชนีอื่นๆ ในเอเชียช่วงนี้ ‘นิ เค อิ’ ก็ทำผลงานได้ดีกว่าหลายตัวเลยนะ แม้บางช่วงอาจจะสู้ตลาดหุ้นอเมริกาอย่าง S&P500 ไม่ได้บ้าง แต่โดยรวมถือว่าน่าสนใจมากๆ ครับ
แต่ใช่ว่าจะมีแต่ขาขึ้นอย่างเดียว ตลาดหุ้นมันก็มีความผันผวนของมันครับ ‘ดัชนี Nikkei 225’ เองก็มีความผันผวนย้อนหลังสูงกว่าดัชนีอื่นๆ ในภูมิภาคและสหรัฐฯ บางช่วงเหมือนกันนะ ซึ่งความผันผวนนี้เองก็เป็นได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยง แปลว่ามีโอกาสทำกำไรได้ดีในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นหรือขาลงชัดเจน แต่ก็ต้องระวังความผันผวนที่อาจทำให้ขาดทุนได้เร็วเช่นกัน
อะไรคือเบื้องหลังความร้อนแรงของ ‘ตลาดหุ้นญี่ปุ่น’ ล่ะ? ส่วนหนึ่งมาจาก ‘การปฏิรูป’ ที่ทางรัฐบาลและตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นเขากำลังทำอย่างจริงจังครับ เขาอยากให้บริษัทญี่ปุ่นใช้เงินทุนที่หามาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่แค่เก็บเงินสดไว้เฉยๆ โดยเฉพาะบริษัทที่ราคาหุ้นซื้อขายในตลาดต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของตัวเอง (หรือ P/B Ratio ต่ำกว่า 1 เท่า) เหมือนกับว่าไปกระตุ้นให้บริษัทเหล่านี้บริหารเก่งขึ้น ทำอะไรสักอย่างให้มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทสะท้อนออกมาในราคาหุ้น อาจจะด้วยการเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น หรือปรับปรุงธุรกิจอะไรก็ว่าไป
อีกเรื่องที่สำคัญคือการ ‘ซื้อหุ้นคืน’ ครับ บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งกำลังเร่งซื้อหุ้นตัวเองคืน ทำสถิติใหม่เรื่อยๆ ซึ่งไอ้การซื้อหุ้นคืนเนี่ย มันเหมือนกับการที่บริษัทเอาเงินสดมาซื้อหุ้นตัวเองกลับไปจากตลาด ทำให้จำนวนหุ้นในตลาดน้อยลง พอหุ้นน้อยลง ถ้ากำไรยังเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น มันก็จะช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share – EPS) ได้ และมักจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นในระยะยาวครับ นอกจากนี้ รัฐบาลก็ยังส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ซึ่งอย่างที่บอกไปว่ากลุ่มนี้มีน้ำหนักเยอะในดัชนี ‘นิ เค อิ’ มันก็เลยยิ่งเป็นแรงหนุนสำคัญครับ
ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคอย่างอัตราดอกเบี้ย นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ ก็มีผลต่อดัชนีไม่น้อยเลย รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างแนวโน้มของตลาดหุ้นใหญ่ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยน (เงินเยนแข็งค่ามักจะกดดันหุ้นกลุ่มส่งออก) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ก็ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนใน ‘ตลาดหุ้นญี่ปุ่น’ ด้วยครับ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเริ่มสนใจแล้วว่า ‘เอ๊ะ แล้วเราคนไทยจะลงทุนใน ‘หุ้น ญี่ปุ่น’ ได้ยังไงบ้างนะ?’ ก็มีหลายวิธีครับ แต่ช่องทางที่เข้าถึงได้ง่ายๆ สำหรับนักลงทุนรายย่อยไทย มักจะเป็นการลงทุนผ่าน ‘ตราสารอนุพันธ์’ อย่างเช่น สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Difference – CFD) ที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของดัชนี ‘นิ เค อิ 225’ ได้ หรือที่คุ้นเคยกันดีในชื่อ ‘DW’ (Derivative Warrants) ซึ่งเป็นใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับดัชนี ‘นิ เค อิ 225’ ครับ
โดยเฉพาะ DW อ้างอิงดัชนี ‘นิ เค อิ 225’ เนี่ย ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ ข้อดีคือมันทำให้เราได้เข้าถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ได้กระจายความเสี่ยงจากการลงทุนแค่ในตลาดหุ้นไทย แถมยังลงทุนได้ทั้งตอนที่ตลาด ‘หุ้น ญี่ปุ่น นิ เค อิ’ คาดว่าจะขึ้น (ซื้อ DW ประเภท Call) และตอนที่คาดว่าจะลง (ซื้อ DW ประเภท Put) ด้วย ที่สำคัญคือเราสามารถซื้อขาย DW พวกนี้ได้ด้วยบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่เราใช้เทรดหุ้นไทยปกติ เป็นสกุลเงินบาทได้เลย สะดวกมากๆ ครับ
ปัจจุบันก็มีผู้ออก DW หลายรายที่ให้เราเลือกเทรด ‘นิ เค อิ’ อย่างเช่น DW ที่อ้างอิงดัชนีนี้จากบริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) ก็ถือเป็นผู้ออกรายแรกๆ ในประเทศไทยที่ทำให้คนไทยรู้จัก DW อ้างอิงดัชนีนี้ครับ เวลาซื้อขาย DW อ้างอิง ‘นิ เค อิ 225’ ก็จะเป็นไปตามเวลาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครับ แบ่งเป็นช่วงเช้า (ประมาณ 10.00-13.15 น.) และช่วงบ่าย (ประมาณ 14.30-16.30 น.) ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ออก DW จะดูแลสภาพคล่องให้เราสามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น แต่ก็ต้องระวังในบางวันที่ตลาดหุ้นไทยเปิด แต่ตลาด Nikkei 225 Futures ที่ DW อ้างอิงนั้นปิดทำการ ในวันแบบนั้นอาจจะไม่มีการดูแลสภาพคล่องนะครับ

⚠️ แต่ต้องย้ำเตือนนะครับว่า การลงทุนในตราสารอนุพันธ์แบบนี้ ‘มีความเสี่ยงสูงมาก’ นะครับ! มันเหมือนกับการที่เราใช้ ‘เลเวอเรจ’ (Leverage) หรือเงินก้อนเล็กเพื่อควบคุมมูลค่าการลงทุนที่ใหญ่กว่ามาก ซึ่งหมายความว่าถ้าทิศทางตลาดเป็นไปตามที่เราคาด กำไรที่เราจะได้ก็จะถูกขยายใหญ่ขึ้นตามเลเวอเรจนั้น (เหมือนคูณเพิ่ม)
แต่! ถ้าตลาดสวนทางกับที่เราคาด ‘ความสูญเสียก็สามารถถูกขยายใหญ่ขึ้นได้เช่นกัน’ บางทีอาจสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมดได้เลยนะครับ DW เองก็มีวันครบกำหนดอายุด้วยนะ เมื่อถึงวันหมดอายุ มูลค่าของ DW อาจจะเหลือศูนย์ได้เลยถ้าไม่สามารถทำกำไรได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด ต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษครับ นอกจากนี้ ราคาของตราสารอนุพันธ์ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกหลายอย่าง ทำให้ราคาแปรปรวนได้ตลอดเวลา
ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจลงทุนใน ‘หุ้น ญี่ปุ่น นิ เค อิ’ ผ่านเครื่องมือพวกนี้ ต้องทำความเข้าใจลักษณะของมันให้ดี ศึกษาข้อมูลความเสี่ยง ประเมินว่าเรารับความเสี่ยงระดับนี้ได้หรือไม่ และถ้าไม่แน่ใจ หรือยังไม่มีประสบการณ์ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนเสมอครับ ข้อมูลราคาที่เราเห็นบางครั้งอาจไม่ใช่เรียลไทม์เป๊ะๆ ด้วย และต้องอ่านข้อตกลงและเงื่อนไขต่างๆ ที่ผู้ออกระบุไว้อย่างละเอียดนะครับ
สรุปแล้ว ‘ตลาดหุ้นญี่ปุ่น’ โดยเฉพาะ ‘ดัชนี Nikkei 225’ ถือเป็นตลาดที่น่าจับตามองจริงๆ ครับ ด้วยผลงานที่แข็งแกร่ง การปฏิรูปจากภาครัฐ และการกระจายตัวในบริษัทชั้นนำหลากหลายอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะเทคฯ) แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจ ‘ลงทุนหุ้นญี่ปุ่น’ ก็มีช่องทางให้เข้าถึงได้แล้ว แต่หัวใจสำคัญที่สุดคือ ‘การศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน’ ทำความเข้าใจในสิ่งที่เราจะลงทุน และ ‘การบริหารความเสี่ยง’ ครับ อย่าเพิ่งรีบกระโดดเข้าไปเพียงเพราะเห็นข่าวว่ามันวิ่งดี หรือคิดว่ามันจะขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ ต้องทำความเข้าใจเครื่องมือที่เราใช้ลงทุน ความเสี่ยงของมันจริงๆ ก่อนตัดสินใจเสมอ
จำไว้ว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยงครับ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทยหรือ ‘หุ้น ญี่ปุ่น นิ เค อิ’ การรู้เท่าทันความเสี่ยงและลงทุนอย่างมีแผน จะช่วยให้เราอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืนมากขึ้นครับ