
ช่วงนี้มีเพื่อนๆ นักลงทุนมือใหม่เข้ามาปรึกษาเยอะเลยครับ หลายคนเพิ่งเริ่มเข้าตลาดหุ้น พอเจอสถานการณ์แปลกๆ ก็อดกังวลไม่ได้ หนึ่งในคำถามยอดฮิตคือ “พี่ครับ/ค่ะ เห็นหุ้นตัวที่เราดูๆ อยู่ หรือบางทีก็เป็นหุ้นที่เราถือเองเนี่ย อยู่ดีๆ ก็มีสัญลักษณ์แปลกๆ โผล่ขึ้นมาหลังชื่อหุ้นใน Streaming… บางทีก็ซื้อขายไม่ได้เลย! มันคืออะไรกันแน่ แล้วเราควรทำยังไงดี?”
คำถามนี้แหละครับที่ผมอยากจะชวนคุยกันวันนี้ เพราะสัญลักษณ์พวกนี้ไม่ใช่แค่ตัวอักษรเท่ๆ แต่มันคือ “สัญญาณเตือน” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เขาตั้งใจส่งมาให้เรานักลงทุนทุกคนได้รู้ ถ้าเราเข้าใจความหมาย เราก็จะรับมือได้อย่างถูกต้อง ไม่ตกใจเกินเหตุ และที่สำคัญคือ ไม่หลงเข้าไปใน ‘กับดัก’ โดยไม่รู้ตัวครับ
มาเริ่มกันที่สัญญาณเตือนตัวแรกที่นักลงทุนมักจะตกใจเมื่อเจอ นั่นคือ เครื่องหมาย SP ครับ SP ย่อมาจาก Trading Suspension แปลตรงตัวคือ ‘ระงับการซื้อขาย’ ครับ ลองนึกภาพถนนกำลังซ่อมใหญ่ หรือมีอุบัติเหตุร้ายแรง ตำรวจก็จะปิดถนนชั่วคราวใช่ไหมครับ เครื่องหมาย SP ก็คล้ายๆ กันครับ คือตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาเห็นว่ามี ‘ปัญหาใหญ่’ บางอย่างกับหุ้นตัวนี้ หรือมีเหตุการณ์สำคัญมากๆ เกิดขึ้น ที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้ แต่ข้อมูลยังไม่ชัดเจน หรือบริษัทยังไม่ได้ชี้แจง เขาก็เลยต้อง ‘หยุด’ การซื้อขายไว้ก่อน เพื่อไม่ให้นักลงทุนตัดสินใจบนข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์

แล้วอะไรคือ ‘ปัญหาใหญ่’ ที่ว่านี้ล่ะ? เกณฑ์ที่ทำให้ หุ้นขึ้น sp คืออะไร ก็มีหลายแบบครับ ที่พบบ่อยๆ ก็เช่น บริษัทมีข่าวสำคัญมากที่ต้องชี้แจง แต่ยังชี้แจงไม่ได้ทันที หรือร้ายแรงกว่านั้นคือ บริษัทฝ่าฝืนกฎ หรือเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือที่เจอบ่อยและเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักคือ บริษัทไม่นำส่งงบการเงินภายในเวลาที่กำหนดครับ (ตรงนี้สำคัญนะครับ เพราะงบการเงินคือกระจกส่องสุขภาพบริษัท ถ้าไม่ส่งแสดงว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล หรือมีปัญหาหนักจริงๆ) นอกจากนี้ก็อาจจะมีเหตุผลอื่นๆ เช่น หุ้นกำลังจะถูกพิจารณาเพิกถอนออกจากตลาด หรือกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงสถานะ หรือเป็นกรณีที่หุ้นกู้ของบริษัทมีปัญหาเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ หรือหุ้นนั้นๆ กำลังจะครบกำหนดไถ่ถอน แปลงสภาพ ใช้สิทธิ หรือขายคืน (อันนี้มักจะเป็น SP ชั่วคราวเพื่อดำเนินการ) หรือมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการซื้อขายโดยรวมครับ
อย่างที่เราเห็นข่าวเมื่อปีที่แล้ว หุ้น STARK ก็ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เพราะไม่ส่งงบการเงินเป็นเวลานาน ซึ่งสุดท้ายก็นำไปสู่กระบวนการพิจารณาเพิกถอนครับ หรือกรณีหุ้น MORE ที่เคยมีการซื้อขายผิดปกติและมีปัญหาเรื่องการชำระราคา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ขึ้น SP เช่นกัน หรือหุ้น SMK ที่มีปัญหาส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบหนักและผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน นี่คือตัวอย่างกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผู้สั่งขึ้น SP ครับ แต่ก็มีบางกรณีที่บริษัทจดทะเบียนเองเป็นผู้ขอให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้น SP ชั่วคราว เพื่อดำเนินการบางอย่าง เช่น ตอนที่หุ้น TRUE กับ DTAC กำลังจะรวมกิจการ ก็มีการขอพักการซื้อขายเพื่อเตรียมจัดสรรหุ้นบริษัทใหม่หลังรวมกิจการ หรือกรณีของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ LPF ที่ขอขึ้น SP เพื่อดำเนินการแปลงสภาพเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ครับ
ทีนี้ หลายคนอาจมีคำถามต่อว่า แล้วถ้าเราถือ DW (Derivative Warrant) หรือ Warrant (ใบสำคัญแสดงสิทธิ) ที่อ้างอิงกับหุ้นแม่ตัวที่ติด SP ล่ะ? หลักทรัพย์อ้างอิงเหล่านี้ก็จะถูกขึ้นเครื่องหมาย SP ตามไปด้วยครับ ไม่สามารถซื้อขายได้เช่นกัน แล้วถ้า DW หรือ Warrant ของเราจะหมดอายุพอดีในช่วงที่หุ้นแม่ยังติด SP อยู่ล่ะ จะคำนวณเงินสดส่วนต่างกันยังไง? อันนี้มีกฎอยู่ครับ ถ้าหุ้นแม่อ้างอิงกลับมาซื้อขายได้ภายใน 30 วันหลังจากวันซื้อขายสุดท้ายของ DW โบรกเกอร์ก็จะใช้ราคาปิดของหุ้นแม่ในวันที่กลับมาเทรดวันแรกมาคำนวณเงินสดส่วนต่างให้ครับ แต่ถ้าหุ้นแม่ไม่กลับมาซื้อขายภายใน 30 วัน โบรกเกอร์ก็จะหา “ราคายุติธรรม” (Fair Value) ที่จัดทำโดยที่ปรึกษาการเงินอิสระที่ ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ให้ความเห็นชอบ เพื่อใช้คำนวณเงินสดส่วนต่างแทนครับ ถ้าคำนวณแล้วมีเงินส่วนต่าง นักลงทุนก็จะได้รับเงินคืนภายใน 8 วันทำการหลังจากประกาศราคาครับ

สรุปง่ายๆ คือ หุ้นขึ้น sp คืออะไร? มันคือการที่หุ้นตัวนั้นถูก ‘แช่แข็ง’ ชั่วคราว เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ หรือชี้แจงให้ชัดเจนก่อน เหมือนรถที่ต้องจอดซ่อมฉุกเฉิน รอจนกว่าปัญหาจะแก้ไขเรียบร้อยครับ แล้วเมื่อไหร่จะปลด SP ล่ะ? ก็ต่อเมื่อบริษัทแก้ไขเหตุที่ทำให้ถูกขึ้น SP ได้ครบถ้วนแล้วครับ เช่น นำส่งงบการเงินที่ค้างอยู่ได้แล้ว โดยผู้สอบบัญชีไม่มีความเห็นว่างบไม่ถูกต้อง หรือแก้ไขงบการเงินตามที่ ก.ล.ต. สั่งเรียบร้อยแล้ว เป็นต้น กระบวนการปลด SP ในกรณีที่เป็นปัญหาใหญ่ๆ (เช่น ไม่ส่งงบ, เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน) มักจะมีขั้นตอนซับซ้อนและใช้เวลาครับ บริษัทต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ภายในกรอบเวลาที่กำหนด ซึ่งมักจะเป็น 2 ปีแรก แล้วจากนั้นจะมีเวลาอีก 1 ปี (ช่วงที่ 2) เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติให้กลับมาซื้อขายได้ ถ้าทำได้สำเร็จถึงจะขอให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลดเครื่องหมาย NC (Non-Compliance) และ SP เพื่อกลับมาซื้อขายปกติ แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้ภายในกรอบเวลาทั้งหมดนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็อาจพิจารณาสั่งเพิกถอนออกจากตลาดไปเลย โดยก่อนเพิกถอน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดให้ซื้อขายได้อีก 7 วันทำการ พร้อมขึ้นเครื่องหมาย NC และกำหนดให้ซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้นครับ (ซึ่งบัญชี Cash Balance คือบัญชีที่นักลงทุนต้องฝากเงินสดเต็มจำนวนค่าซื้อหลักทรัพย์ไว้กับโบรกเกอร์ก่อนทำการซื้อครับ ไม่สามารถใช้มาร์จิ้นได้)
นอกจาก SP แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมี ‘สัญญาณเตือน’ อีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า เครื่องหมาย C ครับ C ย่อมาจาก Caution แปลว่า ‘ระมัดระวัง’ ครับ ถ้า SP เหมือนไฟแดงปิดถนน เครื่องหมาย C ก็เหมือนป้ายเตือนทางข้างหน้ามีหลุมบ่อ หรือกำลังก่อสร้าง ให้เราชะลอและขับอย่างระวัง เครื่องหมาย C ไม่ได้ห้ามซื้อขาย แต่เป็นการบอกว่า “หุ้นตัวนี้มีเรื่องที่ต้องระวังนะ” ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาด้านฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน หรือการไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ครับ
เครื่องหมาย C มีหลายประเภทครับ ยิบย่อยหน่อยแต่รู้ไว้ดีกว่า:
* **CB (Caution – Business):** บอกว่าบริษัทมีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจหรือผลการดำเนินงานครับ เช่น บริษัทไม่มีธุรกิจหลักๆ ที่สร้างรายได้ตามเกณฑ์ หรือขาดทุนต่อเนื่องหลายปีจนส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าทุนชำระแล้ว หรือส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงหนักมากจนน้อยกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว หรือร้ายแรงคือผิดนัดชำระหนี้ หรือถูกยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ถูกฟ้องล้มละลายครับ
* **CS (Caution – Financial Statements):** เกี่ยวข้องกับงบการเงินครับ เช่น ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน (ซึ่งแปลว่าเขาไม่มั่นใจในความถูกต้องของงบ) หรือ ก.ล.ต. สั่งให้บริษัทแก้ไขงบการเงิน หรือต้องตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษครับ
* **CF (Caution – Free Float):** เกี่ยวข้องกับสัดส่วนหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ครับ ถ้ามีน้อยเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในการซื้อขาย ทำให้หาคนซื้อคนขายยาก หรือราคาอาจผันผวนได้ง่ายครับ
* **CC (Caution – Non-Compliance):** เกี่ยวข้องกับการไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์อื่นๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ครับ เช่น มีกรรมการตรวจสอบไม่ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้นานเกินไป หรือบริษัทมีสินทรัพย์เกือบทั้งหมดเป็นเงินสดหรือหลักทรัพย์ระยะสั้นมากๆ จนเข้าข่ายเป็น Cash Company ครับ
สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เลยคือ หุ้นตัวไหนที่ขึ้นเครื่องหมาย C เนี่ย บอกเลยว่ามี ‘ปัญหา’ ครับ ปัญหาเหล่านี้อาจไม่รุนแรงถึงขั้นต้องหยุดซื้อขายทันทีแบบ SP แต่อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของบริษัทได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเงิน ปัญหาธุรกิจ ปัญหาการกำกับดูแล หรือปัญหาเรื่องสภาพคล่อง และอีกเรื่องที่สำคัญมากคือ หุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย C จะต้องซื้อด้วย บัญชี Cash Balance เท่านั้นครับ เหมือนกับหุ้นที่กำลังจะถูกเพิกถอนใน 7 วันสุดท้าย นั่นแหละครับ เป็นการบังคับให้นักลงทุนต้องมีความพร้อมด้านเงินสดเต็มที่ก่อนซื้อ แสดงให้เห็นว่าตลาดฯ มองว่าเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงครับ เครื่องหมาย C นี้จะคงอยู่กับหุ้นตัวนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าบริษัทจะแก้ไขเหตุที่ทำให้ถูกขึ้นเครื่องหมายได้สำเร็จครับ ถ้าแก้ไขไม่ได้ ปล่อยไว้นานๆ ก็อาจนำไปสู่กระบวนการพิจารณาเพิกถอนออกจากตลาดได้เช่นกันครับ
สรุปส่งท้ายครับ สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ การเห็นเครื่องหมาย SP หรือเครื่องหมายในกลุ่ม C หลังชื่อหุ้นตัวไหนก็ตาม ไม่ว่าจะหุ้นที่เราถืออยู่ หรือหุ้นที่เรากำลังสนใจ จะต้องตีความว่านี่คือ “ธงแดง” ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ โบกให้เราเห็นครับ มันไม่ใช่สัญญาณให้รีบขายทิ้งทันที (ยกเว้น SP ที่บังคับขายไม่ได้อยู่แล้ว) แต่มันคือสัญญาณเตือนให้เรา ‘หยุด’ หรือ ‘ชะลอ’ แล้ว ‘ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างละเอียด’ ครับ หุ้นที่ติด SP หรือ C เนี่ย บอกตรงๆ ว่ามีความเสี่ยง ‘มากกว่า’ หุ้นปกติทั่วไปมากๆ ครับ
ถ้าคุณกำลังถือหุ้นตัวที่ติด SP หรือ C: อย่าเพิ่งตกใจจนทำอะไรไม่ถูกครับ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ‘หาข้อมูล’ ครับ เข้าไปดูข่าวในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเว็บไซต์ของบริษัทจดทะเบียนนั้นๆ ว่าเขาชี้แจงว่าอย่างไร อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ขึ้นเครื่องหมาย แล้วมีแนวทางแก้ไขอย่างไรบ้างครับ ประเมินสถานการณ์ว่าปัญหาร้ายแรงแค่ไหน และมีโอกาสแก้ไขได้สำเร็จไหมครับ
ถ้าคุณกำลังสนใจจะซื้อหุ้นที่ติด SP หรือ C: อันนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษครับ ไม่ใช่ว่าหุ้นติด SP หรือ C แล้วจะไม่มีโอกาสกลับมาดีนะครับ บางตัวอาจแก้ไขปัญหาได้และกลับมาซื้อขาย หรือกลับมามีผลประกอบการดีขึ้นได้ แต่โอกาสและความไม่แน่นอนมันสูงมากๆ ครับ ถ้าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ต้องทำการบ้านหนักกว่าปกติหลายเท่าครับ ทำความเข้าใจปัญหาให้ลึกซึ้ง ประเมินความเสี่ยงที่คุณรับได้ และเตรียมใจไว้เลยว่าอาจจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ครับ
เหมือนที่เพื่อนสมชายถามนั่นแหละครับ สัญลักษณ์พวกนี้มีไว้เพื่อปกป้องเรา นักลงทุนรายย่อยนี่แหละครับ เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามสัญญาณเตือนเหล่านี้เด็ดขาดครับ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ และความเสี่ยงนั้นจะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเมื่อหุ้นที่เราสนใจ หรือหุ้นที่เราถืออยู่ มี ‘ธงแดง’ โบกสะบัดอยู่ครับ ขอให้นักลงทุนทุกคนโชคดีกับการลงทุน และไม่ประมาทนะครับ! 若資金流動性不高 หรือเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงไม่ได้เลย ก็ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีเครื่องหมายเหล่านี้ไปก่อนจะปลอดภัยกว่าครับ