
ช่วงนี้ถ้าใครติดตามข่าวการลงทุน หรือแค่ไถๆ ฟีดโซเชียล มีโอกาสสูงที่จะเห็นคำว่า “Nasdaq” ลอยมาให้เห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาพูดถึงหุ้นเทคฯ ตัวแรงๆ ของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Microsoft, Amazon, หรือ Alphabet (บริษัทแม่ Google) ตัวยักษ์ใหญ่เหล่านี้แหละครับที่เป็นหัวใจสำคัญของดัชนีชื่อดังอย่าง Nasdaq 100 แล้วสำหรับนักลงทุนไทยอย่างเราๆ ถ้าอยากจะร่วมขบวนไปกับบริษัทเทคฯ เหล่านี้บ้าง ต้องทำยังไง? คำตอบง่ายๆ ที่หลายคนเลือกก็คือการลงทุนผ่าน กองทุน Nasdaq นี่แหละครับ
แต่การลงทุนใน กองทุน Nasdaq มันไม่ใช่แค่จิ้มชื่อแล้วจบนะครับ มันมีรายละเอียดที่เราควรรู้ ทั้งเรื่องนโยบาย ความเสี่ยง ผลตอบแทนที่ผ่านมา (ซึ่งไม่การันตีอนาคตนะ!) ค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมถึงเรื่องจุกจิกแต่สำคัญอย่าง “วันหยุดตลาด” ที่หลายคนมองข้ามไป
ลองนึกภาพตามนะครับ คุณเห็นข่าวว่าหุ้นเทคฯ อเมริกาพุ่งแรงมากเมื่อคืน อยากจะรีบซื้อ กองทุน Nasdaq วันนี้เลย แต่พอไปดูกลับซื้อไม่ได้ หรือคำนวณราคาหน่วยลงทุนแล้วงงๆ นั่นอาจเป็นเพราะตลาดมันหยุดทำการอยู่ไงครับ ทั้งตลาดไทยและตลาดอเมริกา ต่างก็มีวันหยุดของตัวเอง ซึ่งบางวันก็หยุดพร้อมกัน ทีนี้ก่อนจะซื้อจะขาย กองทุน Nasdaq ช่วงปลายปี 2567 ต่อเนื่องไปถึงปี 2568 เรามาเช็กวันหยุดยาวๆ กันก่อนดีกว่า เพื่อจะได้วางแผนถูก
วันหยุดยาวๆ ที่กระทบการซื้อขายกองทุนที่เราไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็น กองทุน Nasdaq ที่ไปอิงตลาดอเมริกา ก็มีทั้งวันหยุดในบ้านเราเองและวันหยุดของตลาดสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลวันหยุดสำคัญๆ ในปี 2567 และ 2568 มีประมาณนี้ครับ
* วันหยุดของประเทศไทยในปี 2567: 1 มกราคม (วันขึ้นปีใหม่), 26 กุมภาพันธ์ (วันมาฆบูชา), 8 เมษายน (ชดเชยวันจักรี), 12 เมษายน (วันสงกรานต์), 15 เมษายน (วันสงกรานต์), 16 เมษายน (วันสงกรานต์), 1 พฤษภาคม (วันแรงงาน), 6 พฤษภาคม (ชดเชยวันฉัตรมงคล), 22 พฤษภาคม (วันวิสาขบูชา), 3 มิถุนายน (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี), 22 กรกฎาคม (วันอาสาฬหบูชา), 29 กรกฎาคม (ชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว), 12 สิงหาคม (วันแม่แห่งชาติ), 14 ตุลาคม (วันคล้ายวันสวรรคต ร.9 – ตลาดไทยหยุด), 23 ตุลาคม (วันปิยมหาราช), 5 ธันวาคม (วันพ่อแห่งชาติ), 10 ธันวาคม (วันรัฐธรรมนูญ), 31 ธันวาคม (วันสิ้นปี)
* วันหยุดของสหรัฐอเมริกาในปี 2567: 1 มกราคม (New Year’s Day), 15 มกราคม (Martin Luther King, Jr. Day), 19 กุมภาพันธ์ (Presidents’ Day), 29 มีนาคม (Good Friday), 27 พฤษภาคม (Memorial Day), 19 มิถุนายน (Juneteenth National Independence Day), 4 กรกฎาคม (Independence Day), 2 กันยายน (Labor Day), 14 ตุลาคม (Columbus Day – *ตลาดหุ้นเปิด*), 11 พฤศจิกายน (Veterans Day – *ตลาดหุ้นเปิด*), 28 พฤศจิกายน (Thanksgiving Day), 25 ธันวาคม (Christmas Day)
* วันหยุดที่ตรงกันพอดีเป๊ะ ไทย-สหรัฐฯ ในปี 2567: เห็นชัดๆ เลยคือ 1 มกราคม (วันขึ้นปีใหม่) ส่วนวันที่ 14 ตุลาคม ตลาดไทยหยุด แต่ตลาดสหรัฐฯ เปิดนะ ต้องแยกให้ออก

ข้ามมาที่ปี 2568 กันบ้าง
* วันหยุดของประเทศไทยในปี 2568: 1 มกราคม, 12 กุมภาพันธ์ (วันมาฆบูชา), 7 เมษายน (ชดเชยวันจักรี), 14 เมษายน (วันสงกรานต์), 15 เมษายน (วันสงกรานต์), 1 พฤษภาคม (วันแรงงาน), 5 พฤษภาคม (วันฉัตรมงคล), 12 พฤษภาคม (วันวิสาขบูชา), 2 มิถุนายน (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี), 3 มิถุนายน (ชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี), 10 กรกฎาคม (วันอาสาฬหบูชา), 28 กรกฎาคม (วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว), 11 สิงหาคม (ชดเชยวันแม่แห่งชาติ), 12 สิงหาคม (วันแม่แห่งชาติ), 13 ตุลาคม (วันคล้ายวันสวรรคต ร.9 – ตลาดไทยหยุด), 23 ตุลาคม (วันปิยมหาราช), 5 ธันวาคม (วันพ่อแห่งชาติ), 10 ธันวาคม (วันรัฐธรรมนูญ), 31 ธันวาคม (วันสิ้นปี)
* วันหยุดของสหรัฐอเมริกาในปี 2568: 1 มกราคม, 9 มกราคม (เพิ่มเติมจากปีก่อนๆ), 20 มกราคม (Martin Luther King, Jr. Day), 17 กุมภาพันธ์ (Presidents’ Day), 18 เมษายน (Good Friday), 26 พฤษภาคม (Memorial Day), 19 มิถุนายน (Juneteenth National Independence Day), 4 กรกฎาคม (Independence Day), 1 กันยายน (Labor Day), 13 ตุลาคม (Columbus Day – *ตลาดหุ้นเปิด*), 11 พฤศจิกายน (Veterans Day – *ตลาดหุ้นเปิด*), 27 พฤศจิกายน (Thanksgiving Day), 25 ธันวาคม (Christmas Day)
* วันหยุดที่ตรงกันพอดีเป๊ะ ไทย-สหรัฐฯ ในปี 2568: 1 มกราคม และวันที่ 13 ตุลาคม ตลาดไทยหยุด ตลาดสหรัฐฯ เปิดเหมือนเดิม
เห็นไหมครับว่าวันหยุดเพียบเลย! ช่วงวันหยุดยาวๆ แบบนี้ ถ้าเราทำรายการซื้อขาย กองทุน Nasdaq หรือกองทุนต่างประเทศอื่นๆ อาจจะต้องรอตัดรอบนานกว่าปกติ หรือราคาหน่วยลงทุนที่เราได้ก็จะเป็นราคาของวันทำการถัดไปแทน เพราะตลาดอเมริกาเองก็หยุดเหมือนกัน นักลงทุนสายเทคฯ ที่ถือ กองทุน Nasdaq หรือกำลังจะซื้อ ต้องวางแผนดีๆ ครับ อย่าลืมเช็กปฏิทินวันหยุดของทั้งสองประเทศประกอบด้วย
ทีนี้ มาดูหัวใจหลักของเราบ้าง คือตัว กองทุน Nasdaq ที่คนไทยลงทุนได้ จริงๆ แล้วกองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศอีกที (ที่เรียกว่า Feeder Fund) โดยมีเป้าหมายคือไปอิงกับผลตอบแทนของดัชนี Nasdaq 100 ดัชนีนี้อย่างที่บอกไปตอนต้น คือรวมบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมขนาดใหญ่ 100 อันดับแรกที่ไม่ใช่สถาบันการเงินในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก สหรัฐอเมริกา พูดง่ายๆ คือถ้าอยากลงทุนในบริษัทอย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Tesla, NVIDIA, Meta Platforms (Facebook) ฯลฯ แบบเป็นกลุ่มๆ การลงทุนใน กองทุน Nasdaq ที่อิงดัชนีนี้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ปัจจุบันมีหลาย บลจ. ในไทยที่มี กองทุน Nasdaq ให้เลือกลงทุน โดยส่วนใหญ่มักจะไปลงทุนต่อในกองทุนหลักอย่าง Invesco NASDAQ 100 ETF ซึ่งเป็น ETF (Exchange Traded Fund) ขนาดใหญ่ที่ลิสต์อยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา และมีวัตถุประสงค์ในการเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนี Nasdaq 100 โดยตรง
แล้วจะเลือก กองทุน Nasdaq ไหนดีล่ะ? ข้อมูลที่เราได้รับมามีการเปรียบเทียบกองทุนไทยหลายกองที่ลงทุนในกองทุนหลักตัวนี้ เช่น K-USXNDQ-A(A), KKP NDQ100-H, TLUSNDQ-H-A, SCBNDQ(A) ซึ่งแต่ละกองก็มีรายละเอียดแตกต่างกันไปนิดหน่อย แม้เป้าหมายจะเหมือนกันคืออิงดัชนี Nasdaq 100
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเวลาเลือก กองทุน Nasdaq หรือกองทุนอื่นๆ ก็ตาม ไม่ควรมองแค่ผลตอบแทนย้อนหลังอย่างเดียวครับ ต้องดูหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น
1. นโยบายการลงทุนและระดับความเสี่ยง: กองทุนที่อิง Nasdaq 100 ส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 6 ซึ่งถือว่า “เสี่ยงสูง” เพราะเน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศและเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ราคาผันผวนง่าย กองทุนส่วนใหญ่เหล่านี้มักไม่มีนโยบายจ่ายปันผล และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX Hedging) ไว้ประมาณ 75% หรือมากกว่า เพื่อลดความผันผวนจากค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
2. ผลตอบแทนย้อนหลัง: อันนี้ก็ดูไว้เป็นข้อมูลประกอบครับ กองทุนแต่ละกองอาจมีผลตอบแทนย้อนหลังต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา (เช่น 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี) แม้จะอิงดัชนีเดียวกัน ความแตกต่างนี้อาจมาจากค่าธรรมเนียมหรือประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนเล็กๆ น้อยๆ แต่จำไว้ว่าผลตอบแทนในอดีตไม่ได้บอกอนาคตนะครับ
3. ความเสี่ยงอื่นๆ (ค่าความผันผวนและอัตราส่วนชาร์ป): นอกจากระดับความเสี่ยงแล้ว ตัวชี้วัดที่ละเอียดขึ้นก็มี เช่น ค่าความผันผวน (Volatility หรือ Standard Deviation) ยิ่งค่านี้ต่ำ หมายถึงราคากองทุนแกว่งน้อยกว่า ส่วนอัตราส่วนชาร์ป (Sharpe Ratio) คือการวัดผลตอบแทนที่ได้รับเทียบกับความเสี่ยง ยิ่งค่าสูงยิ่งดี แปลว่าได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่รับ ข้อมูลเปรียบเทียบที่เราได้มาบอกว่า SCBNDQ(A) มีค่าความผันผวน 1 ปีต่ำสุด (17.50%) ในขณะที่ KKP NDQ100-H มีอัตราส่วนชาร์ป 1 ปีสูงที่สุด (1.70)
4. ค่าธรรมเนียมกองทุน: อันนี้สำคัญมากๆ ครับ เพราะค่าธรรมเนียมจะมากัดกร่อนผลตอบแทนของเราไปเรื่อยๆ ทุกปี ต้องดูอัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวม (Total Expense Ratio) ยิ่งต่ำยิ่งดี จากข้อมูล SCBNDQ(A) มีค่าใช้จ่ายรวมต่ำสุด (0.37%) รองลงมาคือ TLUSNDQ-H-A (0.42%) และ KKP NDQ100-H (0.43%) ส่วน K-USXNDQ-A(A) อยู่ที่ 0.70% นอกจากนี้ก็มีค่าธรรมเนียมซื้อขาย (Sales/Redemption Fee) ส่วนใหญ่กองทุนที่เปรียบเทียบมาไม่มีค่าธรรมเนียมเหล่านี้ ยกเว้น K-USXNDQ-A(A) ที่มีค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน 0.15% ค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันนี้มีผลต่อผลตอบแทนสุทธิที่เราจะได้รับนะครับ

ยกตัวอย่างข้อมูลเจาะลึกของ กองทุน Nasdaq ตัวหนึ่งคือ กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A (A) หรือ K-USXNDQ-A(A) กองทุนนี้เป็นประเภทกองทุนรวมตราสารทุนและเป็น Feeder Fund ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลัก Invesco NASDAQ 100 ETF ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักตัวนี้ก็มีนโยบายเลียนแบบดัชนี Nasdaq 100 แบบ Full Replication คือพยายามลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีให้ครบถ้วน สถิติล่าสุดของกองทุน K-USXNDQ-A(A) ณ วันที่ที่ระบุในข้อมูล มี NAV ต่อหน่วย 24.84 บาท ขนาดกองทุน 6965.36 ล้านบาท ผลตอบแทนย้อนหลังในสกุลเงินบาท ณ วันที่นั้นๆ เช่น ตั้งแต่ต้นปี -1.17% (ช่วงสั้นๆ ผันผวนได้เป็นเรื่องปกติ), 3 ปีเฉลี่ยต่อปี 15.49%, 5 ปีเฉลี่ยต่อปี 16.24%, 10 ปีเฉลี่ยต่อปี 15.21% และมีการจัดสรรสินทรัพย์เป็นหุ้น 95.26% เงินสด 5.43% นี่เป็นแค่ตัวอย่างนะครับ รายละเอียดพวกนี้เราสามารถดูได้จากเอกสารสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet) ของแต่ละกองทุน
สรุปง่ายๆ การลงทุนใน กองทุน Nasdaq ผ่านกองทุนไทยเป็นช่องทางที่สะดวกในการเข้าถึงหุ้นเทคฯ ชั้นนำของโลก แต่ก่อนตัดสินใจลงทุน เราต้องทำการบ้านสักหน่อยครับ ดูว่ากองทุนที่เราสนใจมีนโยบายยังไง ระดับความเสี่ยงเหมาะสมกับเรารึเปล่า เปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลัง (แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียว), ค่าความผันผวน, อัตราส่วนชาร์ป และที่สำคัญมากๆ คือ “ค่าธรรมเนียม” เพราะมันส่งผลโดยตรงกับผลตอบแทนในระยะยาวของเรา อย่าลืมเช็กวันหยุดตลาดทั้งไทยและอเมริกาด้วยนะครับ จะได้ไม่พลาดช่วงเวลาสำคัญ
การใช้เครื่องมือเปรียบเทียบกองทุนจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือก็ช่วยให้เราเห็นภาพรวมและเปรียบเทียบแต่ละกองได้ชัดเจนขึ้นครับ
⚠️ คำเตือน: การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน และควรประเมินความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้เสมอ ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคตนะครับ.