นิเคอิเช้าเปิดอะไร? ไขความลับตลาดหุ้นญี่ปุ่น กระทบไทยยังไง!

เช้าวันจันทร์ที่สดใส ผมนั่งจิบกาแฟแก้วโปรดที่ร้านประจำ สายตากวาดไปเห็นพาดหัวข่าวเศรษฐกิจตัวใหญ่บนจอทีวีที่ร้านกาแฟ… ‘ดัชนีนิกเคอิปรับตัวลง’ ทันใดนั้น เพื่อนซี้ ‘พี่สมศักดิ์’ ที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยสนใจเรื่องหุ้นเท่าไหร่ ก็เดินเข้ามาทักพลางชี้ไปที่จอทีวีด้วยสีหน้าสงสัย “นี่ๆ อาจารย์ แล้ว นิเคอิเช้าเปิดอะไร วันนี้ล่ะ มันสำคัญยังไง?”

ผมยิ้มเล็กน้อย พลางปรับแว่น แล้วอธิบายว่า “พี่สมศักดิ์ครับ ดัชนีนิกเคอิ 225 (Nikkei 225) เนี่ย มันก็เหมือนกับ ‘ทีมชาติ’ ของบริษัทญี่ปุ่นชั้นนำ 225 แห่งที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) นั่นแหละครับ ถ้าดัชนีนี้ดีขึ้น ก็หมายความว่าบริษัทใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นกำลังไปได้สวย เศรษฐกิจภาพรวมของญี่ปุ่นก็คึกคัก เหมือนทีมชาติกำลังฟอร์มดีมีลุ้นแชมป์โลกยังไงยังงั้นเลยครับ” ดัชนีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่นะครับ แต่มีประวัติยาวนานทีเดียว เพราะถูกเริ่มคำนวณมาตั้งแต่ปี 1950 ถือเป็นดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดของเอเชียเลยทีเดียว และที่น่าสนใจคือองค์ประกอบของดัชนีนิกเคอิ 225 นี้จะมีการตรวจสอบและปรับเปลี่ยนรายชื่อบริษัททุกปีในเดือนตุลาคม เหมือนการคัดเลือกนักเตะเข้าทีมชาติเลยล่ะครับ เพื่อให้แน่ใจว่ามันสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ณ ปัจจุบันได้แม่นยำที่สุด

แล้วอะไรที่ทำให้ ‘ทีมชาติญี่ปุ่น’ ทีมนี้คะแนนขึ้นๆ ลงๆ ได้ล่ะครับ? ปัจจัยมันมีเยอะแยะไปหมด เหมือนกับกีฬาที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักเตะเก่งอย่างเดียว แต่ยังมีสภาพอากาศ คู่แข่ง และกติกาที่เปลี่ยนไปมาคอยส่งผลกระทบอยู่ตลอดเวลา

อย่างแรกเลยก็คือ ‘เศรษฐกิจโลก’ นี่ยิ่งใหญ่เหมือนเป็นสภาพอากาศที่ส่งผลต่อการแข่งขัน ถ้าฟ้าครึ้มมีเมฆฝน (เช่น ความกังวลเรื่องหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังดูไม่จางหายไปไหน) ตลาดหุ้นเอเชียโดยรวมก็มักจะเปียกปอนไปด้วย เพราะนักลงทุนทั่วโลกต่างก็กังวลว่าเมฆฝนก้อนนี้จะลามมาถึงตัวเองรึเปล่า ในทางกลับกัน ถ้ามีข่าวดี เช่น การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งสัญญาณคืบหน้าว่าจะจบสวย เหมือนคู่ชกมวยสองคู่นี้ส่งสัญญาณว่าจะจับมือกัน ไม่ใช่ชกกันให้ยับ ตลาดก็เฮ ยิ้มออกกันไปตามๆ กัน เพราะหมายความว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะกลับมาหมุนเวียนได้ดีขึ้นครับ

อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับญี่ปุ่น คือ ‘ค่าเงินเยน’ (Japanese Yen) ครับ ลองนึกภาพบริษัทญี่ปุ่นผลิตสินค้าไฮเทคส่งออกไปขายทั่วโลก พอเงินเยนแข็งขึ้น ของที่ขายก็แพงขึ้นในสายตาต่างชาติ กำไรก็หดหาย หุ้นกลุ่มส่งออกเหล่านี้ก็เลยไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ ยิ่งค่าเงินเยนแข็งมากเท่าไหร่ หุ้นกลุ่มนี้ก็ยิ่งซึม เหมือนนักกีฬาบาดเจ็บลงสนามไม่ได้นั่นแหละครับ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเงินเยนอ่อนลง บริษัทเหล่านี้ก็จะกลับมาคึกคัก มีกำไรมากขึ้น และเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นกลุ่มนี้ครับ

ส่วนเรื่องของ ‘นโยบายการเงิน’ พี่สมศักดิ์นึกภาพธนาคารกลางแต่ละประเทศเป็นเหมือนเชฟที่คอยปรุงรสชาติเศรษฐกิจครับ พวกเขาใช้ ‘อัตราดอกเบี้ย’ เป็นเครื่องมือหลักในการควบคุม อย่างแบงก์ชาติจีน (PBOC – People’s Bank of China) ที่ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR – Loan Prime Rate) ลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็เหมือนเติมเครื่องเทศให้เศรษฐกิจกลับมามีชีวิตชีวา หวังว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนและทำให้บริษัทต่างๆ กู้เงินไปขยายกิจการได้ง่ายขึ้น พอมีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ตลาดหุ้นก็มักจะได้รับอานิสงส์ไปด้วยครับ

ทีนี้ เรามาดูผลงานล่าสุดของ ‘ทีมชาติญี่ปุ่น’ และ ‘ทีมชาติไทย’ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 กันหน่อยนะครับ (ข้อมูลนี้อ้างอิงจากข้อมูลดิบที่เราได้รับมา ณ ช่วงเวลาที่บันทึกไว้ และอาจไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์ในปัจจุบัน):

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ดัชนีนิกเคอิ 225 ปิดที่ 37,834.25 จุด ลดลงไป 0.89% ดูเหมือนจะซึมๆ ไปหน่อย แต่พอมาวันที่ 24 มิถุนายน 2568 กลับมาปิดที่ 38,790.56 จุด เพิ่มขึ้นถึง 1.14% เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีความผันผวนสูงมากในช่วงเวลาสั้นๆ โดยในช่วง 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีนิกเคอิ 225 เคยเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงราคา 30,792.74 จุด ถึง 42,426.77 จุด ซึ่งบ่งบอกถึงความคึกคักที่สูงมากในรอบปีที่ผ่านมาเลยครับ ปริมาณการซื้อขาย (trading volume) ก็สูงถึง 1.01 พันล้านหน่วย แสดงให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายในตลาดญี่ปุ่นอย่างมหาศาล

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองก็ไม่น้อยหน้าครับ ดัชนี SET50 วันที่ 13 มิถุนายน 2568 ปิดที่ 730.27 จุด ลดลง 0.39% แต่ในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 พุ่งขึ้นไปปิดที่ 720.17 จุด เพิ่มขึ้นถึง 3.99% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างแรงเลยทีเดียว ส่วนดัชนี SET โดยรวมก็ปิดที่ 1,122.70 จุด ลดลง 0.52% ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2568 ด้วยปริมาณการซื้อขาย 8,428,637 พันหุ้น มูลค่า 42,301.91 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าปริมาณการซื้อขายที่สูงๆ ก็มักจะบ่งบอกถึงความคึกคักและความผันผวนที่มาคู่กันครับ

“แล้วดัชนีนิกเคอิ มันเกี่ยวอะไรกับตลาดหุ้นไทยล่ะ?” พี่สมศักดิ์ถามต่อ

“มันเหมือนวงออเคสตราครับพี่” ผมตอบ “ดัชนีหลักๆ ของโลกอย่าง Dow Jones Industrial Average (DJI – ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์) ของสหรัฐฯ, Hang Seng (HSI – ดัชนีฮั่งเส็ง) ของฮ่องกง หรือแม้แต่ Nikkei ของญี่ปุ่น มักจะบรรเลงเพลงที่มีจังหวะคล้ายๆ กัน พอตลาดใหญ่ๆ ที่เป็น ‘ตัวนำ’ ขยับ ตลาดเล็กๆ อย่างบ้านเรา (SET และ SET50) ก็มักจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย หรือในทางกลับกันก็ได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น การที่นักลงทุนจะรู้ว่า นิเคอิเช้าเปิดอะไร และเคลื่อนไหวอย่างไร จึงเป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดเอเชียครับ”

ย้อนกลับไปดูประวัติของดัชนีนิกเคอิ 225 เราจะเห็นภาพชัดเจนเลยครับว่ามันไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว แต่ก็มีช่วงที่ร่วงหนักๆ เหมือนกัน อย่างในวิกฤตซับไพร์มเมื่อปี 2008 ที่ทำให้ดัชนีร่วงลงอย่างหนัก หรือแม้แต่การระบาดของโรคโควิด-19 (COVID-19) ในช่วงต้นปี 2020 ที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนอย่างรุนแรง แต่หลังวิกฤตเหล่านั้น ตลาดก็มักจะฟื้นตัวกลับมาได้ครับ อย่างดัชนีนิกเคอิ 225 ก็เคยทำราคาสูงกว่า 30,000 จุด เป็นครั้งแรกในรอบสามสิบปีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2021 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น

“แต่ก่อนจะคิดกระโดดลงสนาม หรือจะลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (ETF – Exchange Traded Fund) ที่อิงดัชนีนิกเคอิ ผมต้องย้ำเตือน ‘พี่สมศักดิ์’ และทุกท่านเสมอว่า ‘การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน’ ครับ” ผมเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “การซื้อขายตราสารทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรือแม้แต่เงินดิจิทัล (digital assets) มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดที่คุณมีเลยนะครับ ราคาของเงินดิจิทัลบางสกุลมีความผันผวนสูงชนิดที่ว่าวันนี้ขึ้นพรุ่งนี้ลงเป็นเท่าตัวก็มีให้เห็นมาแล้ว แถมการซื้อขายด้วย ‘มาร์จิน’ (margin) หรือเงินยืมจากโบรกเกอร์ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ถ้าคำนวณผิดพลาดอาจล้มละลายได้เลยครับ เหมือนเราจะไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะครับ ไม่ใช่ใส่รองเท้าแตะไปเดินแล้วหวังว่าจะถึงยอดได้อย่างปลอดภัย”

“และที่สำคัญ ข้อมูลที่เราเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ อาจไม่ใช่แบบเรียลไทม์ และอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำ 100% เสมอไปนะครับ เหมือนรายงานสภาพอากาศ บางทีก็มีคลาดเคลื่อนบ้าง เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งรีบเชื่อทุกตัวเลขที่เห็น และอย่าเพิ่งควักกระเป๋าลงทุนตามกระแสข่าวร้อนๆ โดยที่ยังไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ครับ”

ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นไทย หรือสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการ ‘รู้จักตัวเอง’ ครับ พิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุนของคุณให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร ลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะสั้นหรือยาวแค่ไหน มีระดับประสบการณ์ในการลงทุนมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญที่สุดคือ ‘ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง’ ของตัวเอง คุณรับได้แค่ไหนหากเงินลงทุนของคุณจะลดลงไป 10% หรือ 20%? หากไม่แน่ใจ ควรแสวงหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่มีใบอนุญาตและเชื่อถือได้ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ

สรุปแล้ว ไม่ว่า นิเคอิเช้าเปิดอะไร หรือจะปิดที่เท่าไหร่ สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจ ‘เกม’ ของตลาดครับ มันไม่ใช่แค่ตัวเลขลอยๆ แต่คือผลรวมของปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และอารมณ์ของนักลงทุนทั่วโลก หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินทุนจำกัดและไม่สามารถรับความผันผวนได้มาก ผมแนะนำให้เริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลให้ลึกซึ้ง และอาจจะพิจารณาการลงทุนในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าไปก่อน หรือแบ่งเงินลงทุนเป็นส่วนๆ ค่อยๆ ทยอยลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงครับ

แต่ถ้าเป็นคนที่พร้อมรับความท้าทาย และมีวินัยในการลงทุน การทำความเข้าใจดัชนีสำคัญๆ อย่างดัชนีนิกเคอิ การติดตามข่าวสารเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงิน ก็เป็นแต้มต่อที่ช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และที่สำคัญคือสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนมีแผนที่ที่ดีและอุปกรณ์พร้อมสำหรับการเดินทางในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยความท้าทายแต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสครับ ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดีกับการลงทุนในทุกๆ วันนะครับ!

Leave a Reply