ตรวจดาวโจนส์: อ่านเกมเศรษฐกิจโลก จับทิศทางลงทุน

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมเราดูข่าวเศรษฐกิจทีไร มักจะมีตัวเลข “ดาวโจนส์” โผล่มาตลอด? แล้วไอ้เจ้าตัวเลขที่วิ่งขึ้นๆ ลงๆ เนี่ย มันสำคัญกับชีวิตเรายังไงบ้าง วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่พยายามย่อยเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย จะชวนทุกคนมา ตรวจดาวโจนส์ และทำความเข้าใจตลาดหุ้นพี่เบิ้มของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาไปพร้อมๆ กันครับ

เจ้าดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ดาวโจนส์ เนี่ย เขาเหมือนเป็น “ดาราประจำวงการ” ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้ครับ แม้จะมีอายุอานามเก่าแก่มากๆ และชื่อยังมีคำว่า “อุตสาหกรรม” อยู่ แต่จริงๆ แล้ว 30 บริษัทที่ถูกคัดเลือกมาอยู่ในดัชนีนี้ ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วนมาก ไม่ได้มีแค่อุตสาหกรรมอย่างเดียวแล้ว ทั้งเทคโนโลยี สุขภาพ การเงิน ฯลฯ

การ ตรวจดาวโจนส์ มันเหมือนเรากำลังดูภาพรวมคร่าวๆ ว่าบริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกาเขากำลังเป็นยังไงกันบ้าง ซึ่งสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจชัดๆ เลยก็คือ “เราไม่สามารถไปซื้อดัชนีดาวโจนส์ได้โดยตรง” นะครับ มันไม่ใช่หุ้นตัวหนึ่ง แต่ถ้าอยากจะร่วมวงลงทุนที่อิงกับดาวโจนส์จริงๆ ก็ต้องไปดูพวกกองทุนรวมที่ลงทุนตามดัชนีนี้ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ที่อิงกับดัชนี หรือจะเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่อยู่ใน 30 บริษัทนั้นเลยก็ได้ครับ

ช่วงที่ผ่านมา การจะ ตรวจดาวโจนส์ แล้วเจอแต่ตัวเลขที่ทำให้ชื่นใจตลอดเวลานี่ดูจะเป็นเรื่องท้าทายเอามากๆ เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดาวโจนส์นี่มีความผันผวนสูงปรี๊ดเหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกาเลยครับ บางช่วงนี่ร่วงลงไปเป็นหลายร้อยถึงพันจุดก็มี ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำกันไปหมด สาเหตุหลักๆ ที่กดดันตลาดหนักๆ ก็มาจากเรื่องความกังวลสารพัด ทั้งสงครามการค้า เรื่องภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หรือแม้แต่คอมเมนต์ที่ดูเหมือนจะเป็นการแทรกแซงนโยบายจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจในทิศทางนโยบายต่างๆ

นอกจากปัจจัยมหภาคที่ดูใหญ่โตเหล่านั้นแล้ว หุ้นรายตัวที่มีน้ำหนักเยอะๆ ในดัชนี ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมา หรือราคาดิ่งลงแรงๆ มันก็สามารถฉุดให้ดาวโจนส์ทั้งดัชนีร่วงตามไปด้วยได้เลยครับ อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นบางตัว เช่น ยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) หรือ เอ็นวิเดีย (Nvidia) ที่พอราคามีการปรับฐานลง ก็สร้างแรงกดดันให้กับภาพรวมของตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ในความมืดก็ยังมีแสงสว่างเสมอครับ! ตลาดหุ้นก็ไม่ได้มีแต่ขาลง ช่วงไหนที่มีข่าวดีเข้ามา ตรวจดาวโจนส์ ก็อาจจะเจอตัวเลขสีเขียวสดใสได้เหมือนกัน ปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดในช่วงที่ผ่านมาก็เช่น ความคืบหน้าหรือความหวังว่าจะมีการทำข้อตกลงทางการค้ากันได้ ไม่ว่าจะเป็นกับจีนหรือสหราชอาณาจักร พอข่าวดีพวกนี้ออกมา บรรยากาศการลงทุนก็ดีขึ้นทันตาเห็น

อีกเรื่องที่สำคัญและส่งผลโดยตรงกับราคาหุ้นแต่ละตัวก็คือ “ผลประกอบการ” ของบริษัทครับ บางช่วงที่เราเห็นดาวโจนส์ หรือดัชนีอื่นๆ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้น ก็มาจากบริษัทหลายๆ แห่งประกาศผลประกอบการออกมาดีเกินคาด เช่น ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (Hewlett Packard Enterprise) ที่ได้อานิสงส์จากความต้องการเซิร์ฟเวอร์สำหรับงาน AI หรือ อัลตา บิวตี้ (Ulta Beauty) ที่รายงานกำไรออกมาแข็งแกร่งและปรับเพิ่มคาดการณ์ทั้งปี ตัวเลขพวกนี้ทำให้นักลงทุนมั่นใจในศักยภาพของบริษัทและเข้ามาซื้อหุ้น ดันให้ตลาดโดยรวมปรับตัวขึ้นครับ

พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ ตัวเลขต่างๆ ที่ออกมาจากหน่วยงานของสหรัฐฯ ก็มีความสำคัญมากๆ ในการ ตรวจดาวโจนส์ และประเมินทิศทางตลาดครับ ล่าสุดมีตัวเลขที่น่าสนใจออกมาหลายตัวเลย อย่างเช่น ดัชนีภาคบริการ (ISM Services PMI) เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของภาคบริการของอเมริกา ปรากฏว่าตัวเลขตกลงมาอยู่ที่ 49.9 จุด ซึ่งถ้าต่ำกว่า 50 นี่หมายถึงภาวะ “หดตัว” นะครับ นี่เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งปีเลย แล้วยังเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบปีด้วย แถมต้นทุนของธุรกิจในภาคบริการก็ยังเพิ่มขึ้นอีก ตัวเลขนี้ชวนให้กังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะกำลังชะลอตัวลง พร้อมๆ กับแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อที่ยังอยู่ ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าอาจจะเป็นผลกระทบจากประเด็นเรื่องภาษีการค้าที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางอย่างชะงักไป

อีกตัวเลขที่น่าจับตาคือรายงานการจ้างงานภาคเอกชนที่จัดทำโดย ADP เดือนพฤษภาคม ก็ออกมาน่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน เพราะภาคเอกชนจ้างงานเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบกว่าสองปีแล้วครับ ตัวเลขนี้ทำให้นักลงทุนยิ่งต้องไปลุ้นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls) ที่จะออกมาในวันศุกร์ เพื่อดูภาพรวมตลาดแรงงานให้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

แต่ก็มีข่าวดีให้พอชื่นใจอยู่บ้างครับ นั่นคือ ตัวเลขเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “เฟด” (Federal Reserve) ให้ความสำคัญที่สุดอย่าง ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE Inflation) เดือนเมษายนที่ผ่านมา ตัวเลขออกมาไม่รุนแรงเท่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ครับ ทั้งตัวเลข PCE ทั่วไปที่รวมอาหารและพลังงาน และตัวเลข PCE พื้นฐานที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว

ตัวเลข PCE ทั่วไป เดือนเมษายนแบบเทียบปีต่อปี (YoY) อยู่ที่ +2.1% ซึ่งลดลงจากเดือนมีนาคมที่ 2.3% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 2.2% ส่วนแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) อยู่ที่ +0.1% ตรงตามที่คาดการณ์ไว้ครับ ขณะที่ตัวเลข PCE พื้นฐานก็ออกมาตรงตามที่คาดเช่นกัน คือ +2.5% YoY และ +0.1% MoM

ตัวเลขเงินเฟ้อ PCE ที่ดูไม่น่ากลัวเท่าที่เคยเป็นนี่แหละครับ ที่เป็น “ความหวัง” ให้นักลงทุนยังคงเชื่อว่า เฟดจะมีโอกาส “ลดอัตราดอกเบี้ย” ได้ในการประชุมช่วงเดือนกันยายนนี้ เพราะเป้าหมายหลักของเฟดคือการคุมเงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อเริ่มอยู่ในระดับที่รับได้ ก็จะมีช่องทางในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครับ แม้ว่าประธานเฟดเองก็เคยแสดงความกังวลเรื่องผลกระทบจากภาษีที่อาจจะฉุดเศรษฐกิจได้เหมือนกัน แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังให้น้ำหนักกับการคาดการณ์ลดดอกเบี้ยอยู่

นอกจากดาวโจนส์แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีดัชนีอื่นๆ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq ซึ่งส่วนใหญ่ก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับดาวโจนส์ครับ แต่บางช่วงก็มีที่ S&P 500 หรือ Nasdaq สามารถปิดในแดนบวกได้ แม้ว่าดาวโจนส์จะปิดลบก็ตาม อย่างเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็นเดือนที่ S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นได้แข็งแกร่งมากๆ ครับ S&P 500 เพิ่มขึ้นประมาณ 6.2% ส่วน Nasdaq ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยี พุ่งขึ้นไปถึง 9.6% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นรายเดือนที่มากที่สุดในรอบหลายเดือนเลยทีเดียว

ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้มีผลแค่ในอเมริกานะครับ เวลา ตรวจดาวโจนส์ แล้วเห็นการเปลี่ยนแปลง มันมักจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงตลาดหุ้นทั่วโลกเลย โดยเฉพาะตลาดในเอเชีย อย่างตลาดหุ้นโตเกียว หรือบ้านเราเอง ก็มักจะเปิดตลาดมาพร้อมกับการรับอิทธิพลจากทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในคืนก่อนหน้าครับ ถ้าดาวโจนส์ขึ้น ตลาดเอเชียก็มีแนวโน้มจะคึกคักตามไปด้วย ถ้าดาวโจนส์ร่วง ตลาดเอเชียก็มักจะเปิดมาในแดนลบครับ

สรุปแล้ว การ ตรวจดาวโจนส์ ในช่วงนี้ ต้องดูหลายๆ ปัจจัยประกอบกันครับ ทั้งเรื่องสงครามการค้า เรื่องภาษี ที่ยังคงเป็นประเด็นคาใจ ท่าทีและการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟด ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ อย่างภาคบริการ การจ้างงาน และเงินเฟ้อ รวมถึงผลประกอบการและข่าวคราวเฉพาะตัวของบริษัทใหญ่ๆ ที่อยู่ในดัชนี

ตลาดหุ้นอเมริกายังคงเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจและมีอิทธิพลต่อทั่วโลก แต่ก็ยังคงมีความผันผวนสูงมากๆ ครับ เหมือนเป็นสังเวียนที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ การติดตามข่าวสาร และการบริหารความเสี่ยง

สำหรับนักลงทุน การ ตรวจดาวโจนส์ เป็นแค่หนึ่งเครื่องมือในการดูภาพรวมครับ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำความเข้าใจว่าปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานั้นส่งผลต่อตลาดอย่างไร เราเองมีแผนการลงทุนอย่างไร และยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนครับ

⚠️ ข้อควรจำเสมอคือ การลงทุนในตราสารทางการเงินและเงินดิจิตอลมีความเสี่ยงสูง อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเอง ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และถ้าไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเสมอนะครับ อย่าลงทุนตามกระแสโดยที่ยังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ครับ

Leave a Reply