
ช่วงนี้ใครที่กำลัง **ดูดาวโจนส์** หรือติดตามข่าวสารตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ คงจะรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกาใช่ไหมครับ? เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง เดี๋ยวก็มีข่าวโน้น ข่าวนี้น่าปวดหัวมาให้ลุ้นตลอด โดยเฉพาะเรื่อง “สงครามการค้า” ระหว่างพี่เบิ้มอย่างสหรัฐฯ กับพี่ใหญ่อย่างจีน ที่กลายเป็นเหมือนก้อนเมฆดำๆ ที่ลอยอยู่เหนือตลาด ทำให้บรรยากาศไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่เลยครับ
**ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา… ดูดาวโจนส์ และผองเพื่อนเป็นไงบ้าง?**
ถ้าลองย้อนกลับไป **ดูดาวโจนส์** และดัชนีสำคัญอื่นๆ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม (สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 พ.ค.) จะเห็นว่าตลาดส่วนใหญ่ปิดบวกกันถ้วนหน้าเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นดัชนี S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 1.88%, ดัชนีดาวโจนส์ (ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นเก่าแก่และเป็นที่รู้จักมากที่สุดตัวหนึ่งในสหรัฐฯ มีหุ้นใหญ่ 30 ตัวอยู่ในนั้น) ก็บวกไป 1.6%, และดัชนี Nasdaq ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีก็พุ่งแรงกว่าเพื่อนที่ 2.01% ส่วนดัชนีหุ้นขนาดเล็กอย่าง Russell 2000 ก็ไม่น้อยหน้า บวกไป 1.3% ถือเป็นสัปดาห์ที่ดีเลยครับ
พอมาดูภาพรวมทั้งเดือนพฤษภาคม ดัชนีหลักๆ ก็ทำผลงานได้น่าประทับใจเช่นกัน โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ที่กระโดดขึ้นมาถึง 6.15% ถือเป็นการกลับมาบวกได้หลังจากที่ติดลบมา 3 เดือนติดต่อกัน และเป็นผลงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2566 โน่นเลย ส่วนดัชนีดาวโจนส์ก็บวกได้ 3.94% และดัชนี Nasdaq ก็พุ่งแรงถึง 9.6% ซึ่งดีที่สุดในรอบหลายเดือน
**อะไรคือแรงขับเคลื่อนให้ตลาดพุ่งขึ้น?**
ปัจจัยหลักๆ ที่ช่วยผลักดันตลาดในช่วงนั้นก็มีหลายอย่างครับ:
1. **ความหวังเรื่องการเจรจาการค้า:** ถึงแม้จะมีความตึงเครียด แต่ก็มีช่วงที่ข่าวออกมาดูดีขึ้นบ้าง มีการพูดคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และจีน ทำให้เกิดความหวังว่าความขัดแย้งจะคลี่คลายลงได้บ้าง
2. **อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง:** เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลง (ส่วนหนึ่งเพราะตัวเลขเงินเฟ้อบางตัวออกมาต่ำกว่าคาด) การลงทุนในหุ้นก็ดูน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับการถือพันธบัตร
3. **ผลประกอบการบริษัทที่ดีเกินคาด:** บริษัทใหญ่ๆ อย่าง Microsoft, Meta Platforms (ที่เราใช้ Facebook, Instagram กันนี่แหละ) หรือแม้แต่ Ulta Beauty บริษัทเครื่องสำอางชื่อดัง ต่างก็ประกาศผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น
4. **ตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง:** ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างตัวเลขการจ้างงานที่ยังดูดี ก็สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแรงอยู่ ทำให้ตลาดคลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยไปได้บ้าง
**แล้วอะไรที่กดดันตลาด สร้างความผันผวน?**
ในทางกลับกัน ตลาดก็เผชิญกับแรงกดดันและความไม่แน่นอนมหาศาล โดยเฉพาะจาก:
1. **สงครามการค้าที่ปะทุขึ้นอีก:** ความตึงเครียดกลับมาอีกครั้ง เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวหาจีนว่า “ละเมิดข้อตกลงทั้งหมด” และขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กอีกหลายเท่าตัว เรื่องนี้สร้างความกังวลอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์จะไปในทิศทางไหน และจะกระทบต่อบริษัทต่างๆ อย่างไร
2. **คำตัดสินของศาลเรื่องภาษี:** เรื่องนี้ก็เพิ่มความสับสนเข้าไปอีก เมื่อศาลการค้าสหรัฐฯ เคยตัดสินให้ยกเลิกภาษีส่วนใหญ่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งระงับชั่วคราว ทำให้ภาษียังคงมีผลต่อไป ความไม่แน่นอนทางกฎหมายแบบนี้ทำให้นักลงทุนปวดหัวเลยครับ
3. **หุ้นบริษัทใหญ่ที่ราคาตก:** ถึงแม้ภาพรวมจะดี แต่ก็มีหุ้นบางตัวในดัชนีใหญ่ๆ ที่ราคาปรับตัวลงแรง อย่างเช่น UnitedHealth ที่มีข่าวผู้บริหารลาออกกะทันหัน หรือ Nvidia หุ้นกลุ่มชิปที่ก่อนหน้านี้พุ่งแรงก็มีช่วงปรับฐานลงมาบ้าง ซึ่งการร่วงลงของหุ้นใหญ่เหล่านี้ก็ส่งผลกระทบต่อดัชนีโดยรวมด้วย
เรียกได้ว่า ตลอดเดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงมากจริงๆ ครับ เหมือนตลาดกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างข่าวดีกับข่าวร้ายเกี่ยวกับนโยบายการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ใครที่ **ดูดาวโจนส์** และดัชนีอื่นๆ อยู่ คงจะใจเต้นแรงตามความเคลื่อนไหวของตลาด

**ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องจับตา**
อีกเรื่องที่สำคัญและส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากๆ ก็คือท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) ครับ เป้าหมายหลักของเฟดคือการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ประมาณ 2%) นักลงทุนจึงต้องคอย **ดูดาวโจนส์** และจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ เพื่อประเมินว่าเฟดจะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยอย่างไร
ตัวเลขสำคัญตัวหนึ่งที่เฟดจับตาเป็นพิเศษคือ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเดือนเมษายนออกมาเพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนมีนาคม (2.3%) ตัวเลขนี้เป็นสัญญาณให้เฟดพิจารณาเรื่องการปรับนโยบาย
นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ (ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลเดิม) ยังจะมีตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm payrolls) ออกมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่นักลงทุนรอคอยอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และดูว่าปัจจัยอย่างภาษีจะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานแค่ไหน และที่สำคัญคือ ข้อมูลเหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟดเรื่องอัตราดอกเบี้ยอย่างไร? ตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดก็คาดการณ์กันว่า เฟดน่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นได้ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ซึ่งถ้าเป็นจริง ก็น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นครับ
**เรื่องน่าสนใจใหม่ๆ ในตลาด… เมื่อโลกคริปโทฯ เข้าสู่ตลาดหุ้นหลัก**
มีเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คือการที่บริษัท Coinbase (บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทอล) ได้ถูกนำเข้าไปรวมอยู่ในดัชนี S&P 500 ซึ่งถือเป็นบริษัทแรกที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับโลกเงินดิจิทอลที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีหลักนี้
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับเงินดิจิทอลที่กว้างขวางมากขึ้นในตลาดการเงินกระแสหลักครับ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เหมือนเป็นการเพิ่มความผันผวนและความเสี่ยงใหม่ๆ ด้านกฎหมายและกฎระเบียบเข้ามาสู่ดัชนีด้วย (แม้ว่า Coinbase จะมีสัดส่วนเล็กน้อยในดัชนีก็ตาม) พูดง่ายๆ คือ ถ้าคุณลงทุนในกองทุนที่อิงกับดัชนี S&P 500 คุณก็จะได้รับความเสี่ยงจากตลาดเงินดิจิทอลโดยอ้อมผ่านหุ้น Coinbase ไปด้วยโดยปริยาย
แม้การนำ Coinbase เข้าดัชนีจะช่วยให้หุ้นของ Coinbase มีสภาพคล่องมากขึ้น และอาจจะช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาได้บ้าง จากการที่กองทุน Passive และ Active ต่างๆ ต้องเข้าซื้อหุ้นตามสัดส่วน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเงินดิจิทอลเองจะหายผันผวนนะครับ ตัวบิตคอยน์และคริปโทฯ อื่นๆ ยังคงมีความผันผวนสูงมากและได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน กฎหมาย หรือการเมือง จากข้อมูลในอดีต (ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา) บิตคอยน์กับ S&P 500 ก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันแค่ประมาณ 40% เท่านั้นเอง ซึ่งบ่งชี้ว่าคริปโทฯ ส่วนใหญ่ยังไม่ใช่เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่ดีสำหรับตลาดหุ้นครับ
**มุมมองจากนักวิเคราะห์ และสิ่งที่เราควรทำ**
จากภาพรวมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อเรา **ดูดาวโจนส์** และเพื่อนๆ จะเห็นว่าได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย แต่ก็ยังมีแรงกดดันใหญ่ๆ จากเรื่องการค้าคอยถ่วงอยู่ นักวิเคราะห์บางส่วนยังคงไม่แน่ใจว่าโมเมนตัมขาขึ้นนี้จะดำเนินต่อไปได้นานแค่ไหน บางคนมองว่า ตลาดอาจจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ไปก่อน เพราะข่าวดีที่สุดอาจจะสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นหมดแล้ว
เหมือนที่เพื่อนผมชื่อ “สมชาย” เคยมาถามผมว่า “เนี่ย เห็น **ดูดาวโจนส์** แล้วมันขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ ตกลงจะเอายังไงดี ซื้อตอนนี้ดีไหม หรือควรรอก่อน?” คำตอบสำหรับสมชาย และสำหรับทุกท่านที่กำลัง **ดูดาวโจนส์** อยู่ ก็คือ ตลาดหุ้นมันซับซ้อนครับ ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแม่นยำ 100% ว่าพรุ่งนี้มะรืนนี้มันจะเป็นอย่างไร
สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่าอะไรคือปัจจัยที่ขับเคลื่อนและกดดันตลาดอยู่ การรู้ว่าเฟดกำลังมองหาอะไรในตัวเลขเศรษฐกิจ หรือความตึงเครียดทางการค้าส่งผลกระทบอย่างไร ช่วยให้เราพอจะมองเห็นภาพรวมและแนวโน้มได้บ้าง
**ข้อคิดและคำแนะนำจากคอลัมนิสต์ถึงผู้อ่านที่รัก**

สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ ท่ามกลางความผันผวนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีสติและวางแผนการลงทุนให้ดีครับ
* **ทำความเข้าใจสิ่งที่เราลงทุน:** ไม่ว่าจะเป็นหุ้นรายตัว กองทุน หรือตราสารอื่นๆ ต้องรู้ว่าเรากำลังลงทุนในอะไร มีความเสี่ยงแบบไหน
* **อย่าเพิ่งตื่นตระหนก:** ตลาดหุ้นขึ้นๆ ลงๆ เป็นเรื่องปกติในระยะสั้น ถ้าเราลงทุนระยะยาว เราจะไม่ต้องกังวลกับการเคลื่อนไหวรายวันมากเกินไป
* **พิจารณาการกระจายความเสี่ยง:** ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว หรือหุ้นกลุ่มเดียว การกระจายการลงทุนช่วยลดความเสี่ยงได้
* **ติดตามข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ:** ข่าวสารมีผลต่อตลาดก็จริง แต่เราต้องแยกแยะข้อมูลและพิจารณาว่าข่าวไหนสำคัญและจะส่งผลกระทบจริงจังแค่ไหน
* **ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:** หากไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจ ควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินที่มีคุณวุฒิ
**⚠️ คำเตือนเรื่องความเสี่ยง: โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!**
การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เช่นกัน ยิ่งในสถานการณ์ที่มีปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก
* **การซื้อขายตราสารทางการเงินและเงินดิจิทอลมีความเสี่ยงสูงมาก** รวมถึงความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
* **ราคาเงินดิจิทอลมีความผันผวนสูงอย่างยิ่ง** และได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมากมายที่เราควบคุมไม่ได้ ทั้งเรื่องการเงิน กฎหมาย และการเมือง
* **การซื้อขายด้วยมาร์จิน (การใช้เงินกู้ยืมในการซื้อขาย)** จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินให้สูงขึ้นไปอีก อาจทำให้ขาดทุนหนักกว่าที่คิด
* **นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้อง** ในการลงทุนแต่ละประเภท และควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การลงทุน ประสบการณ์ และระดับการยอมรับความเสี่ยงของตัวเอง **หากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่มีใบอนุญาต**
* ข้อมูลต่างๆ ที่เราเห็น (เช่น ราคาที่แสดงบนแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ข่าว) **อาจไม่ใช่ข้อมูลเรียลไทม์หรือไม่แม่นยำเสมอไป** อาจมีความแตกต่างจากราคาจริงในตลาด ณ เวลานั้น เป็นเพียงราคาเพื่อใช้เป็นข้อมูลชี้นำเบื้องต้นเท่านั้น
* **แหล่งที่มาของข้อมูลและผู้ให้ข้อมูล (รวมถึงผู้เขียนบทความนี้) จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการสูญเสียใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายของนักลงทุน**
* ข้อมูลในบทความนี้มีลิขสิทธิ์ **ห้ามนำไปใช้ ทำซ้ำ หรือแจกจ่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร** จากแหล่งที่มา
* สุดท้าย แหล่งที่มาของข้อมูล (เช่น Fusion Media) อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำความเข้าใจ
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะกำลัง **ดูดาวโจนส์** ดู S&P 500 หรือดูตลาดไหนๆ ก็ตาม อย่าลืมประเมินความเสี่ยงของตัวเองเสมอ และลงทุนด้วยความเข้าใจนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนครับ!