ดาว โจนส์วันนี้: ผันผวนแค่ไหน? รู้ทันก่อนลงทุน ไม่ตกเป็นเหยื่อ!

สวัสดีครับ/ค่ะ นักลงทุนทุกท่านและผู้อ่านที่น่ารักของคอลัมน์นี้

พักหลังมานี้ เวลาเปิดข่าวเศรษฐกิจ หรือแค่ไถๆ ดูฟีดตามโซเชียลมีเดีย หลายคนคงเห็นตัวเลข “ดัชนีดาวโจนส์” เด้งไปเด้งมา พุ่งแรงบ้าง ดิ่งเหวบ้าง จนบางทีก็งงๆ ว่า “เอ๊ะ ตกลงตลาดหุ้นอเมริกาเขาจะไปทางไหนกันแน่?” แล้วตัวเลข ดาว โจนส์วันนี้ เนี่ย มันบอกอะไรเราได้บ้าง? วันนี้ผม/ดิฉัน ในฐานะเพื่อนร่วมเส้นทางในโลกการเงิน ขออาสาพาไปแกะรอยทำความเข้าใจเรื่องนี้กันแบบง่ายๆ สไตล์เล่าสู่กันฟังครับ

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จัก “ดัชนีดาวโจนส์” หรือชื่อเต็มๆ คือ Dow Jones Industrial Average (DJIA) กันก่อนครับ เจ้านี่ไม่ใช่หุ้นตัวเดียวที่เราซื้อขายได้ตรงๆ นะครับ แต่มันคือตัวเลขที่เอาหุ้น 30 ตัวของบริษัทอเมริกันยักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลต่อเศรษฐกิจมารวมกัน แล้วคำนวณออกมาเป็นค่าเฉลี่ย เหมือนเป็น “ดัชนีชี้วัดสุขภาพ” ของภาคอุตสาหกรรมอเมริกาเลยก็ว่าได้ ซึ่งเจ้านี่มีมานานมากแล้วครับ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2439 โน่นแน่ะ เคยลงไปต่ำสุดแค่ 28.48 จุด! ส่วนตอนนี้ล่าสุด ณ เวลาที่มีข้อมูล ดาว โจนส์วันนี้ อยู่ที่ประมาณ 40,326 จุด ซึ่งก็ปรับลดลงมานิดหน่อยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ถ้ามองย้อนไป เขาเคยทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ไว้ที่ 45,073.63 จุด เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ปี 2567 ที่ผ่านมานี้เองครับ

ถ้าถามว่า ดาว โจนส์วันนี้ เป็นไงบ้างในช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมา จากข้อมูลก็เห็นว่าเขาค่อนข้าง “ผันผวน” ครับ บางสัปดาห์ก็พุ่งขึ้นไปสวยงาม (อย่างสัปดาห์ล่าสุดบวกไป 1.50%) แต่พอมองรายเดือนก็อาจจะเห็นติดลบ (-2.35% ในเดือนล่าสุด) พอมองภาพใหญ่รายปีก็ยังอยู่ในแดนบวก (+5.19% ในรอบปีล่าสุด) ความผันผวนนี้มันมาจากไหน? ก็ต้องบอกว่ามาจากหลายปัจจัยที่เข้ามาผสมโรงกันครับ

ปัจจัยแรกที่เหมือนเป็น “ตัวเอก” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือเรื่อง “สงครามการค้า” ครับ ที่ว่าด้วยความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) กับจีน (จีน) เรื่องภาษีนำเข้าต่างๆ เหมือนดูหนังซีรีส์ดราม่าเลยครับ วันไหนมีข่าวว่าสองประเทศนี้เจรจากันได้ดี หรืออเมริกายอมเลื่อนการเก็บภาษีบางอย่างออกไป (อย่างตอนเลื่อนภาษีสินค้าจากยุโรป) ตลาดหุ้นทั่วโลกก็มักจะยิ้มแก้มปริครับ เพราะความไม่แน่นอนลดลง บรรยากาศการลงทุนก็ดีขึ้น แต่พอมีข่าวสหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม หรือสินค้าจากจีนอีก หรือกล่าวหาจีนเรื่องการค้า ตลาดก็พร้อมใจกัน “ดิ่ง” ทันทีครับ ยิ่งเรื่องการคุมเข้มเทคโนโลยี อย่างการห้ามขายซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน หรือควบคุมการส่งออกชิป AI นี่ก็เป็นอีกตอนที่ทำให้ความตึงเครียดพุ่งสูง หุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างพวกบริษัทผลิตรถยนต์ (อย่าง Ford หรือ General Motors) ที่ต้องใช้วัตถุดิบที่โดนภาษี ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย นี่แหละครับ พลังของข่าวการเมืองและนโยบาย ที่มีผลต่อ ดาว โจนส์วันนี้ แบบทันทีทันใด

อีกผู้เล่นสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาไม่กะพริบตาเลยก็คือ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “เฟด” ครับ เปรียบง่ายๆ เฟดก็เหมือนวาทยากรที่คุมวงออเคสตราเศรษฐกิจอเมริกา เครื่องดนตรีหลักของเฟดก็คือ “อัตราดอกเบี้ย” ครับ การจะขึ้น จะลง หรือจะคงดอกเบี้ยไว้ ส่งผลไปหมดตั้งแต่การกู้ยืม การใช้จ่ายของประชาชน ไปจนถึงกำไรของบริษัทต่างๆ จากรายงานการประชุมล่าสุดของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน หรือ FOMC (FOMC) เห็นชัดว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่มองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะชะลอความเร็วลง (เช่น ขึ้นทีละ 25 จุด) แต่! พวกเขายังคงกังวลเรื่อง “เงินเฟ้อ” ที่ยังอยู่ในระดับสูงอยู่ครับ (บางทีก็เรียกว่า sticky inflation คือเงินเฟ้อที่ยังเหนียวแน่น ไม่ยอมลงง่ายๆ) ดังนั้น ถ้าเงินเฟ้อยังไม่สงบ เฟดก็อาจจะต้องคงดอกเบี้ยสูงไว้นานกว่าที่ตลาดคาด หรืออาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีก ซึ่งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนี่แหละครับ ที่เป็นเหมือนแรงโน้มถ่วงต่อตลาดหุ้น ถ้าดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น ก็อาจจะกดดันตลาดได้ แต่บางช่วงที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลง ก็เหมือนช่วยหนุนตลาดหุ้นได้บ้าง

นอกจากเรื่องสงครามการค้าและนโยบายเฟดแล้ว “สุขภาพ” ของบริษัทต่างๆ และ “ตัวเลขเศรษฐกิจ” ก็มีผลต่อ ดาว โจนส์วันนี้ อย่างมากครับ ลองนึกภาพว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่อยู่ในดัชนี 30 ตัวนี้ เขาทำมาค้าขายเป็นยังไง ถ้ามีข่าวผลประกอบการ (Earnings Report) ออกมาดีกว่าที่คาด อย่างพวกบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่กลุ่ม Magnificent Seven (Magnificent Seven) เช่น ไมโครซอฟท์ (Microsoft) หรือ เมตา (Meta Platforms) ที่รายงานกำไรสวยหรู หุ้นพวกนี้ก็จะพุ่งแรง ดึงให้ดัชนีโดยรวมขึ้นตามไปด้วยครับ แต่ถ้ามีบริษัทใหญ่ๆ ที่ผลประกอบการน่าผิดหวัง อย่างธุรกิจค้าปลีก (Retail) บางเจ้า ตลาดก็อาจจะเซ็งและปรับตัวลงได้

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ก็เหมือนใบรายงานผลสอบของประเทศครับ อย่างดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ถ้าออกมาต่ำกว่าคาด ก็เป็นข่าวดีครับ แปลว่าต้นทุนการผลิตไม่พุ่งแรงเกินไป แต่ถ้าเห็นข้อมูลการจ้างงานแข็งแกร่งเกินคาดในบางช่วง เฟดก็อาจมีเหตุผลที่จะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก ซึ่งก็เป็นได้ทั้งข่าวดี (เศรษฐกิจแข็งแรง) และข่าวร้าย (เฟดอาจคุมเข้ม) ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณน่ากังวลอื่นๆ แฝงอยู่ใต้พรมด้วยนะครับ เช่น ระดับหนี้บัตรเครดิตของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น การผิดนัดชำระหนี้ที่เร่งตัวขึ้น นี่ก็เป็นเหมือนสัญญาณเตือนเล็กๆ ที่นักวิเคราะห์เริ่มจับตาดูครับ แถมยังมีเรื่องถกเถียงกันว่า เศรษฐกิจอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) หรือเปล่า หรือจะอยู่ในภาวะ “No Landing” (No Landing) ที่เศรษฐกิจยังไปได้ดี แต่เงินเฟ้อก็ยังสูงลิ่วอยู่?

สุดท้าย ปัจจัยเฉพาะตัวของบางบริษัท หรือ “ข่าวลือ ข่าวจริง” ต่างๆ ก็มีผลต่อ ดาว โจนส์วันนี้ ได้เหมือนกันครับ อย่างข่าวผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใหญ่ๆ ลาออกกระทันหัน อย่างกรณีของซีอีโอ (CEO) ของ UnitedHealth Group (ยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป) ก็ทำให้ราคาหุ้นบริษัทนั้นๆ ปรับตัวลง และส่งผลต่อดัชนีโดยรวมได้ หรือแม้แต่ถ้อยแถลงของบุคคลสำคัญทางการเมือง ก็สร้างความผันผวนได้ทันทีครับ

จะเห็นว่า ดาว โจนส์วันนี้ ที่เราเห็นเป็นตัวเลขตัวเดียวบนหน้าจอ มันไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดาๆ ครับ แต่มันสะท้อนถึงภาพรวมของเศรษฐกิจ การเมือง นโยบาย และสุขภาพของบริษัทชั้นนำอเมริกา ที่เชื่อมโยงกันเป็นใยแมงมุมซับซ้อนมากๆ การขึ้นลงของดัชนีนี้จึงเป็นผลลัพธ์ของการผสมผสานปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมด

ทีนี้ คำถามคือ แล้วเราในฐานะนักลงทุน หรือคนที่สนใจเรื่องนี้ ควรทำยังไงดี?

อันดับแรกเลยคือ “ทำความเข้าใจ” ครับ ไม่ต้องตกใจไปกับการขึ้นลงรายวัน เพราะอย่างที่เห็นครับ ตลาดมันมีปัจจัยเยอะแยะที่ทำให้ผันผวนได้ การดูแค่ ดาว โจนส์วันนี้ แล้วกระโดดเข้าออกตลาดตามข่าวเร็วๆ มักจะไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืนครับ

สองคือ “มองภาพใหญ่และระยะยาว” ครับ ประวัติศาสตร์บอกเราว่าตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงเสมอ ในระยะยาว เศรษฐกิจโลกและบริษัทดีๆ มักจะเติบโต การลงทุนในระยะยาวและใช้การกระจายความเสี่ยง (Diversification) ไปในสินทรัพย์หรือภูมิภาคต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญครับ

สามคือ “ประเมินตัวเอง” ครับ เรามีเงินเย็นแค่ไหน? รับความเสี่ยงได้แค่ไหน? ถ้าเงินที่เราจะนำมาลงทุนเป็นเงินที่ต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ หรือสภาพคล่อง (Liquidity) ไม่สูงมาก การจะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ผันผวนสูงแบบนี้ อาจจะต้องพิจารณาให้รอบคอบเป็นพิเศษครับ หรือหากสนใจลงทุนในตลาดต่างประเทศอย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ แพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศ (International Trading Platform) อย่าง Moneta Markets ก็มีให้บริการ ซึ่งก็มีเครื่องมือและเงื่อนไขการซื้อขายที่หลากหลายให้ศึกษาครับ แต่จำไว้ว่านี่เป็นแค่ช่องทางหนึ่งนะครับ ไม่ใช่การแนะนำให้ลงทุน

สุดท้ายและสำคัญที่สุด: การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยงครับ ก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน หรือตราสารอื่นๆ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์นั้นๆ เงื่อนไขการลงทุน และประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเองอย่างรอบคอบและเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่อง ดาว โจนส์วันนี้ และตลาดหุ้นอเมริกามากขึ้นนะครับ โลกการเงินอาจจะซับซ้อน แต่ถ้าเราค่อยๆ ทำความเข้าใจ ก็จะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปครับ แล้วพบกันใหม่คอลัมน์หน้าครับ!

Leave a Reply