
ช่วงนี้ใครที่แอบๆ เหลือบมองข่าวตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดใหญ่ๆ อย่างอเมริกา อาจจะเห็นพาดหัวเกี่ยวกับ “ดาวโจนส์” หรือ “ลิ้งดาวโจนส์” ที่ดูเหมือนจะออกอาการเป๋ๆ ปรับตัวลดลงเป็นว่าเล่นจนน่าใจหาย ใช่ไหมครับ? ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่คลุกคลีกับเรื่องพวกนี้มาสักพัก วันนี้ผมอยากชวนมาคุยกันแบบสบายๆ ว่า ไอ้เจ้า ดาวโจนส์ ที่ว่าเนี่ย มันคืออะไร แล้วทำไมช่วงนี้มันถึงดูเหมือนจะลงเขาไม่หยุดแบบนี้
ลองนึกภาพแบบนี้นะครับ “ดาวโจนส์” หรือชื่อเต็มๆ ว่า ดัชนีค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) เนี่ย เปรียบเสมือนคุณลุงใหญ่ใจดีที่คอยเป็นตัวแทนสุขภาพโดยรวมของตลาดหุ้นอเมริกาครับ เขาไม่ได้รวมหุ้นทั้งหมดทั้งมวลนะ แต่เลือกเอาหุ้น 30 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ที่ทรงอิทธิพลและมีขนาดใหญ่มากๆ มาเป็นตัวแทน เหมือนเป็นทีมชาติ 30 คนที่คอยบอกว่าภาพรวมของวงการหุ้นเขาเป็นยังไง ถ้าทีมนี้แข็งแรง ตัวเลขดัชนีก็จะดูดี แต่ถ้าสมาชิกในทีมเริ่มไม่สบายใจ หรือมีเรื่องมากระทบ ตัวเลขก็ย่อมสั่นคลอน
แล้วช่วงนี้ คุณลุงดาวโจนส์ ของเรานี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เลยครับ ถ้าดูจากตัวเลขการเคลื่อนไหวล่าสุดเนี่ย เราเห็น ดัชนีดาวโจนส์ ปรับตัวลงมาหลายร้อยจุด จนถึงหลักพันจุดในบางช่วง ทำให้บรรยากาศการลงทุนดูอึมครึมไปหมด คล้ายๆ กับว่าท้องฟ้าการลงทุนที่อเมริกากำลังปกคลุมไปด้วยเมฆฝนหนาๆ
**ทำไม ดาวโจนส์ ถึงออกอาการแบบนี้? มาไขปริศนาทีละข้อ**
จริงๆ แล้วมันมีหลายปัจจัยรุมเร้าเหมือนพายุหลายลูกที่พัดเข้ามาพร้อมกันเลยครับ ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง:
1. **เรื่องการค้ากับจีนที่ยังคาราคาซัง:** อันนี้เหมือนเป็นเรื่องยาวที่ยังหาทางออกไม่เจอ ความกังวลเรื่องสงครามการค้า (Trade War) ที่อาจจะปะทุขึ้นมาอีกรอบ หรือการเจรจาที่ไม่คืบหน้าเนี่ย มันส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากๆ เลยครับ ยิ่งล่าสุดมีข่าวว่า จีนก็ออกมาเตือนประเทศอื่นๆ ที่จะทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ว่าอย่าให้กระทบผลประโยชน์ของจีนเลยนะ ยิ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดเข้าไปอีก
2. **ประเด็น “ภาษี” ที่ยังหลอกหลอน:** แม้จะเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว แต่เรื่องมาตรการภาษีศุลกากรที่เคยถูกใช้ในช่วงอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ก็ยังเป็นประเด็นที่ตลาดกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทต่างๆ ครับ และที่สำคัญคือ แม้แต่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “เฟด” (Federal Reserve – Fed) คุณเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ท่านก็ออกมาแสดงความกังวลเหมือนกันว่า ไอ้เรื่องภาษีเนี่ย อาจจะไปฉุดเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงได้นะ ซึ่งความเห็นจากประธานเฟดแบบนี้ ย่อมมีน้ำหนักและทำให้นักลงทุนหวัยๆ กันได้

3. **เงินเฟ้อยังสูงกว่าที่คิด:** อันนี้เป็นอีกเรื่องที่ เฟด ให้ความสำคัญมาก นั่นคือตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ เฟด ใช้พิจารณาอัตราดอกเบี้ยนั่นแหละครับ ล่าสุดตัวเลขออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทำให้ความหวังที่ เฟด จะรีบ “ลดดอกเบี้ย” เร็วๆ นี้ดูจะเลือนลางลงไปอีก พอ ดอกเบี้ย ยังอยู่ในระดับสูงนานๆ มันก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับตลาดหุ้นเท่าไหร่ครับ
4. **หุ้นใหญ่บางตัวเจอแรงขาย:** อย่างที่บอกไปว่า ลิ้งดาวโจนส์ ประกอบด้วยหุ้นแค่ 30 ตัว ดังนั้นการเคลื่อนไหวของหุ้นแต่ละตัว โดยเฉพาะตัวที่มีอิทธิพลมากๆ ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อดัชนีครับ ช่วงที่ผ่านมา เราเห็นแรงเทขายในหุ้นบางตัวที่ปกติจะเป็นตัวดันตลาด เช่น UnitedHealth หรือ Nvidia ซึ่งเป็นหุ้นเทคโนโลยีที่เคยวิ่งแรงมากๆ การที่หุ้นเหล่านี้ปรับตัวลง ก็ยิ่งฉุดให้ ดัชนีดาวโจนส์ ดูไม่ดีตามไปด้วย
**หุ้นตัวไหนใน ดาวโจนส์ ที่ต้องจับตา?**
ถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นหัวหอกใน ลิ้งดาวโจนส์ ลองดูตัวอย่างนี้ครับ:
* **กลุ่มมูลค่าตลาดใหญ่ยักษ์:** Microsoft, Apple, Nvidia อันนี้ใหญ่จริง ใหญ่แบบขยับทีสะเทือนทั้งตลาด
* **กลุ่มราคาหุ้นสูงลิ่ว:** Goldman Sachs, Microsoft, UnitedHealth ซื้อทีต้องใช้เงินเยอะหน่อย
* **กลุ่มที่เคยวิ่งฉิวในรอบ 1 ปี:** อย่าง Walmart นี่เคยบวกไปกว่า 60% เลยนะครับ (ข้อมูล ณ จุดเวลาหนึ่ง)
* **กลุ่มที่เคยออกอาการแย่ในรอบ 1 ปี:** อย่าง Merck นี่ก็เคยลบไปถึง 41% (ข้อมูล ณ จุดเวลาหนึ่งเช่นกัน)
จะเห็นว่าการที่หุ้นแต่ละตัวใน ลิ้งดาวโจนส์ มีขึ้นมีลง ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ดัชนีโดยรวมขยับตามไปด้วย
**แล้วคนทั่วไปอย่างเราๆ จะ ลงทุน ใน ดาวโจนส์ ได้ยังไง?**
อันนี้เป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะเข้าใจผิดนะครับ เราไม่สามารถเดินไปบอกว่า “ขอซื้อ ลิ้งดาวโจนส์ 1 หน่วย” ได้โดยตรง เพราะ ดัชนี มันเป็นแค่ตัวเลขที่ใช้วัดเฉยๆ ครับ ถ้าอยากลงทุนตาม ดัชนีดาวโจนส์ เนี่ย เราต้องลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ เช่น
* **สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures):** อันนี้เหมาะกับคนที่มีความรู้และรับความเสี่ยงได้สูง เพราะเป็นการเก็งกำไรกับการขึ้นลงของดัชนีในอนาคต
* **กองทุนรวม หรือ ETF (Exchange Traded Funds):** อันนี้จะง่ายขึ้นมาหน่อย มีกองทุนหลายกองที่ออกแบบมาเพื่อลงทุนตาม ดัชนีดาวโจนส์ โดยเฉพาะ เหมือนเราซื้อหุ้นของกองทุนนี้ แล้วกองทุนก็ไปบริหารจัดการให้
* **ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ ดัชนี:** อันนี้ก็คือเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่เราสนใจใน 30 ตัวนั้นเลยครับ แต่อาจจะต้องใช้เงินเยอะหน่อยและต้องเลือกเอง

บางแพลตฟอร์มเทรดออนไลน์ อย่างเช่น Moneta Markets หรือที่อื่นๆ ที่เป็นแพลตฟอร์มระดับสากล ก็มักจะมีเครื่องมือทางการเงินเหล่านี้ให้บริการด้วย ก็ลองศึกษาดูได้ครับ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าแต่ละแบบมีความเสี่ยงและเงื่อนไขต่างกัน
**สรุปแล้ว เราควรทำตัวยังไงในช่วงนี้?**
สถานการณ์ที่ ดัชนีดาวโจนส์ ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องการค้ากับจีน และปัจจัยภายในอย่างนโยบายการเงินของ เฟด และตัวเลข เงินเฟ้อ ที่ยังไม่สงบดี
สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ **”อย่าตกใจ”** จนเกินเหตุ และพยายาม **”ทำความเข้าใจ”** ว่าเกิดอะไรขึ้น การที่ ดัชนี ลง ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างกำลังจะพังทลายเสมอไป แต่มันคือสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงปรับฐาน หรือตอบสนองต่อข่าวสารและปัจจัยต่างๆ ครับ
ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามข่าวสาร หรือเพิ่งเริ่มต้น ลงทุน การทำความเข้าใจภาพรวมของตลาด และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ ดัชนีดาวโจนส์ ถือเป็นพื้นฐานที่ดีมากๆ ครับ อย่าเพิ่งรีบกระโดดเข้าตลาดเพียงเพราะเห็นว่ามันลงเยอะแล้ว “น่าจะถูก” เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน
**⚠️ คำเตือนที่สำคัญมากๆ:** การ ลงทุน มี ความเสี่ยง เสมอ มูลค่าของสิ่งที่คุณลงทุนอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ และอาจจะได้รับเงินต้นคืนไม่ครบถ้วน อย่าใช้เงินทั้งหมดที่คุณมีไป ลงทุน ในสินทรัพย์ที่มี ความเสี่ยง สูง และที่สำคัญคือ ต้องเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังจะ ลงทุน อย่างถ่องแท้ หากไม่มั่นใจจริงๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาต เพื่อให้เขาช่วยประเมินสถานการณ์และการ ลงทุน ที่เหมาะสมกับตัวคุณนะครับ
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจสถานการณ์ของ ลิ้งดาวโจนส์ และตลาดหุ้นอเมริกาได้ง่ายขึ้นนะครับ ขอให้ทุกคน ลงทุน อย่างมีสติและรอบคอบครับ!